ที่เที่ยว สิงห์บุรี เยือนถิ่นวีรชนคนกล้า คู่หล้าพระนอน

หากพูดถึง ที่เที่ยว สิงห์บุรี แล้วจะคิดถึงอะไร? บางคนบอกว่าคิดถึงหมู่บ้านบางระจันบ้าง พระนอนจักรสีห์บ้าง แม่ลาปลาเผาบ้าง เป็นต้น ซึ่งเราก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน! สำหรับทริปนี้เราจะพาไปตามรอยถิ่นวีรชนคนกล้าของพวกเรา และถือโอกาสเดินสายทำบุญไหว้พระอีกด้วย เพราะ จ.สิงห์บุรี นั้น มีชื่อเสียงโด่งดังมากในเรื่องวัดวาอารามโดยเฉพาะวัดพระนอนจักรสีห์วรวิหาร เลยขอเอาทริปมาเล่าสู่กันฟัง เผื่อเสาร์อาทิตย์นี้ใครว่างก็ลอกทริป ที่เที่ยว สิงห์บุรี ของพวกเราแล้วไปเที่ยวกันได้เลย!

เริ่มต้นด้วยการเดินทาง…

ทริปนี้เรากับเพื่อนๆขับรถไปกันโดยออกจากบ้านตั้งแต่เช้าตรู่มุ่งหน้าตรงดิ่งสู่ จ.สิงห์บุรี ซึ่งอยู่ห่างจากกรุงเทพมหานครประมาณ 140 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทาง 1 ชั่วโมง 30 นาที ขับรถแป๊บเดียวก็ถึงละจ้า “สิงห์บุรีถิ่นวีรชนคนกล้า คู่หล้าพระนอน นามกระฉ่อนปลาช่อนแม่ลา เทศกาลกินปลาประจำปี” เรายกคำขวัญ จ.สิงห์บุรี มาให้ทั้งหมดเลย!

รวม 8 ที่เที่ยว สิงห์บุรี ดังนี้…

1) ร้านเล็กเลือดหมู

เรามาถึงสิงห์บุรีก็เกือบเก้าโมงครึ่งแล้ว เพื่อนบางคนเริ่มหิวข้าวเช้าแล้วล่ะ เราจึงลงความเห็นกันว่าจะแวะกินต้มเลือดหมูที่ร้านเล็กเลือดหมูกัน

ร้านเล็กเลือดหมู เป็นร้านที่ติดกับถนนใหญ่เลย หาได้ง่ายๆเพราะกระเบื้องหลังคาใช้สีน้ำเงินเห็นชัดมาแต่ไกล ร้านนี้เขามีชื่อเสียงเรื่องต้มเลือดหมูมากๆ กินแล้วก็อร่อยจริงๆ เนื้อนุ่มมาก เครื่องในต้มเปื่อยไม่เหนียวมาก เลือดหมูรสชาติกำลังพอดี ที่สำคัญน้ำซุปเขาไม่มีกลิ่นคาวเลยล่ะ อร่อยสมคำร่ำลือจริงๆ นอกจากนี้ยังมีเมนูอื่นๆให้เลือกอีกด้วย เช่น ข้าวขาหมู เกาเหลา เป็นต้น ใครมาสิงห์บุรีอย่าลืมแวะมาชิมกันนะ

2) โบถส์วัดไทร

เรากินอิ่มกันแล้วก็ออกเดินทางกันต่อมุ่งหน้าสู่โบถส์วัดไทร จากร้านเล็กเลือดหมูมาถึงโบสถ์วัดไทรนั้นระยะทางประมาณ 27 กิโลเมตรได้ ทริปนี้เรามุ่งหน้าขึ้นเที่ยวทางทิศเหนือของ จ.สิงห์บุรี ก่อนแล้วค่อยๆไล่ลงมา เอาเป็นว่าโบถส์วัดไทรนี้อยู่เกือบถึง จ.ชัยนาท แล้วล่ะ! แฮ่ๆๆ

เราตาม GPS มาแบบงงๆเพราะทางเข้าโบถส์มันจะหายากๆหน่อย ลัดเลาะตามทุ่งนามาหลายกิโลเมตรเลยล่ะ ถ้าใครหา GPS ไม่เจอเราแนะนำให้หาวัดระนามแทนและใช้เส้นทางวัดระนามมา ซึ่งโบถส์วัดไทรจะอยู่ใกล้ๆกับวัดระนามเลย และไม่ต้องตกใจถ้าจะต้องขับผ่านทุ่งนา นั่นแหละถูกแล้ว! ฮ่าๆๆ

ทำไมเราถึงพามาที่นี่อ่ะเหรอ ก็เพราะที่นี่มัน Unseen ไงล่ะ! น้อยคนนักที่จะรู้จักที่นี่ มีใครเคยได้ยินคำว่าสถาปัตยกรรมทางธรรมชาติของรากไม้ที่โอบล้อมกำแพงโบสถ์ไว้ได้อย่างสวยงามไหม? นั่นแหละที่เราจะได้ชมกันที่นี่!

เราขอแอบเล่าประวัตินิดหนึ่งว่า โบสถ์วัดไทรนั้นมีชื่อเดิมว่า “วัดทะยาน” แต่ก่อนเคยมีพระธุดงค์รูปหนึ่งมาพบว่าวัดนี้เป็นวัดร้างและเห็นว่าบริเวณรอบๆมีต้นไทรขึ้นอยู่หนาแน่นจึงให้เปลี่ยนเป็นชื่อวัดไทรมาจนถึงทุกวันนี้ คาดว่าวัดนี้ถูกสร้างขึ้นมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาและตั้งอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา โดยมีตำนานเล่าต่อๆกันมาอีกว่า แรกเริ่มนั้นองค์พระประธานของที่นี่เป็นหุ่นปูนหุ้มด้วยทอง แต่ต่อมาถูกทหารพม่าสุ่มไฟหลอมลอกเอาทองไปหมดเหลือแต่หุ่นปูนข้างใน และองค์พระพุทธรูปก็ถูกตัดเศียรไปด้วย รวมถึงตัวโบสถ์ก็เสียหายด้วย ต่อมาภายหลังชาวบ้านจึงได้เรี่ยไรกันเพื่อนำเงินมาบูรณะต่อเศียรพระพุทธรูปและบูรณะหลังคาโบสถ์ให้ด้วย แต่ในระหว่างที่เข้ามาบูรณะทำหลังคาโบสถ์นั้นกลับมีฟ้าผ่า จนมีชาวบ้านฝันว่าองค์พระประธานที่ประดิษฐ์ในโบสถ์นั้นไม่ต้องการให้สร้างหรือดัดแปลงสิ่งใดๆของโบสถ์ หลังจากนั้นมาก็ไม่มีใครทำหลังคาโบสถ์ให้อีกเลย เราจึงเห็นว่าโบสถ์แห่งนี้ไม่มีหลังคาแต่ได้ร่มเงาจากต้นไทรนั่นเอง!

อย่างที่เราบอกไปแล้วว่าโบสถ์ที่นี่นั้นไม่มีหลังคาโบสถ์ แต่มีร่มเงาจากต้นไทรมาแทน เชื่อไหมว่าเรานั่งอยู่ในนี้แบบไม่ร้อนแดดเลย ลมเย็นมาก ฝนลงเม็ดก็เปียกน้อยมาก นี่แหละความมหัศจรรย์ของที่นี่ที่เราอยากพาทุกคนมาดูและไหว้สักการะกัน!

2) วัดพระนอนจักรสีห์วรวิหาร

เราออกจากโบสถ์วัดไทรขับรถย้อนลงใต้มุ่งหน้าสู่วัดพระนอนจักรสีห์วรวิหาร วัดที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นวัดคู่บ้านคู่เมืองของ จ.สิงห์บุรี ตาม GPS กันเลยจ้า ง่ายๆไม่หลงแน่นอน

ที่วัดพระนอนจักรสีห์วันนี้มีคนมากราบไหว้ท่านเยอะมาก พอเราจอดรถเสร็จก็เดินเข้ามาภายในวัดกัน จุดแรกที่เรามาคือ เรามาปิดทองให้องค์พระนอนจำลองกันก่อนเลย หลังจากนั้นเราก็ไปบูชาดอกไม้ธูปเทียนมากราบนมัสการท่านด้วย ที่นี่เราต้องจุดธูปเทียนไหว้ขอพรองค์พระนอนจำลองซึ่งอยู่ภายนอกวิหารวัดเท่านั้น เพราะข้างในวิหารเขาไม่อนุญาตให้เราจุดธูปเทียนใดๆ ให้กราบไหว้ได้อย่างเดียว

เราไหว้พระขอพรเสร็จก็เดินเข้ามาชมพระนอนจักรสีห์องค์จริงกัน บรรยากาศในวิหารสวยมาก มีองค์พระและสิ่งของสะสมเก่าๆของวัดจัดแสดงนิทรรศการตลอดทางเดินให้เราชมด้วย งดงามมากจริงๆ

เราเดินมาถึงจุดกราบไว้องค์พระนอนจักรสีห์ ก่อนจะพบว่าท่านสวยและงดงามมาก บารมีของท่านยิ่งใหญ่จริงๆ

เราแอบไปค้นประวัติจากเน็ตมา เขาบอกกันว่า วัดพระนอนจักรสีห์นั้นเป็นวัดคู่บ้านคู่เมืองของ จ.สิงห์บุรี ถือเป็นพระอารามหลวงชั้นตรีที่สันนิฐานว่าท้าวอู่ทองเป็นผู้สร้างขึ้นในสมัยก่อนอยุธยาเป็นราชธานี ภายในวิหารประดิษฐานพระพุทธรูปปางไสยาสน์ ปางโปรดอสุรินทราหู สร้างตามลักษณะพระพุทธรูปแบบสุโขทัย ถือว่าเป็นองค์พระพุทธไสยาสน์ที่ใหญ่และยาวที่สุดของประเทศไทยถึง 47 เมตร 42 เซนติเมตร

ข้างนอกวิหารยังมีรูปปั้นองค์พระต่างๆอีกมากมายให้เราได้กราบนมัสการกัน หรือใครจะร่วมทำบุญกับทางวัดด้วยก็ได้

3) ตลาดต้องชม

เราออกจากวิหารแล้วเดินมาแวะชมตลาดต้องชมกันต่อ ตลาดนี้อยู่ข้างๆวัดพระนอนจักรสีห์เลย มีข้าวปลาอาหารให้กิน มีขนมขบเคี้ยวของฟงของฝากให้เลือกซื้อเยอะแยะ ที่สำคัญตลาดนี้มีเมนูปลาๆตากแห้งขายด้วย มาเมืองปลาช่อนแม่ลาทั้งที ลองกินกันบ้างยัง?

4) วัดหน้าพระธาตุ

พอเราเดินตลาดต้องชมกันเสร็จ เราก็ออกเดินทางไปชมองค์พระปรางของวัดหน้าพระธาตุกันต่อ วัดหน้าพระธาตุนี้อยู่ในเขตวัดพระนอนจักรสีห์อ่ะแหละ ขับรถไปแค่ 750 เมตรเอง สัณนิษฐานกันว่า ที่นี่เคยเป็นที่ตั้งของเมืองสิงห์บุรีเก่านั่นเอง

ลักษณะโดดเด่นของวัดหน้าพระธาตุนี้นั่นก็คือ มีองค์พระปรางที่สูงประมาณ 8 วาได้ โดยมีการบูรณะเพิ่มเติมด้วยสถาปัตยกรรมแบบอยุธยาตอนต้น ซึ่งตัวพระปรางค์เองนั้นทำเป็นรูปครุฑ มีอสูรถือกระบองประดับอยู่เหนือชั้นเชิงบาตร ตั้งแต่ฐานศิลาแลงขึ้นไปนั้นก่อด้วยอิฐย่อมุมทรงปรางค์ กลีบขนุนปรางค์ก็ก่อด้วยอิฐด้วย โดยกรมศิลปากรได้ขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานเมื่อวันที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2478 ที่ผ่านมานั่นเอง

5) อนุสาวรีย์ค่ายบางระจัน

เราอยู่วัดหน้าพระธาตุกันนานพอสมควร ก็ออกเดินทางกันต่อ มุ่งหน้าสู่อนุสาวรีย์ค่ายบางระจัน เรามาที่นี่มีโอกาสได้สักการะบรรพบุรุษของเราทั้ง 11 ท่าน เราแอบภูมิใจในวีรกรรมอันหาญกล้าของท่านและชาวบ้านบางระจันมากเลย ที่นี่นอกจากจะมีอนุสาวรีย์แล้วยังมีอาคารศูนย์ศึกษาประวัติศาสตร์วีรชนค่ายบางระจันอีกด้วย ซึ่งข้างในก็จะมีห้องจัดแสดงนิทรรศการต่างๆ เช่น เครื่องใช้โบราณ แหล่งเตาเผาแม่น้ำน้อย เป็นต้น

ภายในอุทยานเขาเปิดเพลงแนวรักชาติตลอดเวลา เราขนลุกเลย แอบรักชาติขึ้นมาทันทีทันใด แฮ่ๆๆ

6) วัดโพธิ์เก้าต้น

จากนั้นเราก็ไปต่อกันที่วัดโพธิ์เก้าต้นซึ่งอยู่ตรงข้ามกับอนุสาวรีย์ค่ายบางระจันนั่นเอง ที่นี่คนแน่นมาก หาที่จอดรถยากพอสมควร พอจอดรถกันเสร็จเราก็เดินเข้าไปที่วัดโพธิ์เก้าต้นกันเลย สิ่งแรกที่เราจะเห็นคือ องค์พระพุทธโฅตมะสีขาวขนาดใหญ่เด่นสง่ามาแต่ไกล

ภายในวัดมีวิหารพระอาจารย์ธรรมโชติ หรือหลวงพ่อยิ้ม พระผู้เป็นที่พึ่งให้กับชาวบ้านบางระจันเมื่อครั้งทำศึกสงครามให้มีกำลังใจเข้มแข็งในการสู้รบกับพม่า เป็นบุญเราเลยล่ะที่ได้มาวัดนี้ เชื่อไหมว่าเราไม่เคยรู้จักวัดนี้มาก่อน เคยดูแต่หนัง ไม่คิดว่าจะได้มากราบนมัสการท่านจริงๆ

แอบขอเล่าประวัตินิดหน่อยว่า วัดโพธิ์เก้าต้นหรือวัดไม้แดงนั้น ถือว่าเป็นวัดที่มีบทบาทสำคัญในเมื่อครั้งที่ชาวบ้านบางระจันสู้รบเพื่อปกป้องบ้านเมืองเราในอดีต ซึ่งภายในวัดเดิมใช้เป็นที่ตั้งมั่นในการต่อต้านพม่าที่ยกทัพมาตีกรุงศรีอยุธยาเมื่อปี 2308 และสามารถต้านกองทัพของพม่าไว้ได้ถึง 5 เดือนเลยทีเดียวจนได้ขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานตั้งแต่ปี 2498 เป็นต้นมา สำหรับชื่อเดิมวัดไม้แดงนั้น มีประวัติมาจากวัดนี้มีต้นไม้แดงเป็นจำนวนมาก โดยต้นไม้แดงนั้นมีอายุยืนยาวมาก บางต้นยืนต้นตายมาแล้วกว่า 200 ปีเลยล่ะ!

ที่นี่มีผู้คนหาบน้ำจากบ่อน้ำหลังวัดมาเทใส่สระน้ำหน้าวัดเป็นจำนวนมาก เพราะอะไรน่ะเหรอ เราแอบถามคนแถวๆนั้นดู เขาบอกประมาณว่าเป็นการแก้บนหากขอพรแล้วประสบผลสำเร็จอ่ะ โอ้โห! คนเยอะมากจริงๆ แสดงว่าท่านคงให้พรกับทุกๆคน สาธุๆ

7) ค่ายบางระจัน

เราเดินออกจากวัดโพธิ์เก้าต้นแวะเข้ามาในรั้วค่ายบางระจันที่อยู่ติดๆกันนั่นเอง ข้างในนี้ร่มรื่นมาก ต้นไม้ที่นี่สูงมากด้วย นอกจากนี้ภายในค่ายแห่งนี้ยังมีอาคารจัดแสดงนิทรรศการเกี่ยวกับบางระจันด้วย นี่เรามายืนอยู่ในจุดๆที่เคยเป็นค่ายบางระจันเมื่อในอดีตแล้วจริงๆหรือนี่! เราขนลุกเลยทีเดียว!

8) ตลาดไทยย้อนยุคบ้านระจัน

เราเดินออกจากค่ายบางระจันมาก็จะพบกับตลาดไทยย้อนยุคบ้านระจัน ที่นี่เขาจำลองตลาดเป็นแบบบรรยากาศเหมือนย้อนอดีตกลับไปในช่วงเวลาหลายร้อยปีที่แล้ว น่าตื่นเต้นมากอ่ะ!

ชาวบ้านที่นี่เขาแต่งตัวแบบย้อนยุคกันหมดเลย ซึ่งการแต่งตัวแบบย้อนยุคเป็นชาวบ้านบางระจันของที่นี่ถือเป็นเอกลักษณ์ที่หาดูที่ไหนไม่ได้เลยล่ะ สุดยอด!

ที่นี่เขามีบริการเช่าชุดย้อนยุคในราคาถูกด้วย เราสามารถเช่าชุดมาใส่เดินเที่ยวตลาดได้เลย หรือจะมาถ่ายรูปคู่กับพี่ๆพรีเซ็นเตอร์ก็ได้ น่ารักกันเลยเชียว!

ตลาดที่นี่ถูกปกคลุมด้วยต้นไม้ใหญ่ บรรยากาศจึงร่มรื่นมากๆ ที่นี่มีการจัดแต่งซุ้มจำหน่ายสินค้าด้วยวัสดุธรรมชาติในรูปแบบพื้นบ้าน เช่น หญ้าคา เป็นต้น ให้ความรู้สึกที่ผ่อนคลายมากพอสมควร อีกทั้งที่นี่ยังขายของอารมณ์แบบย้อนยุคกันจริงๆ มีผัก มีผลไม้ ห่อข้าวห่อน้ำแบบใบตองไรงี้ เหมือนในละครจักรๆวงศ์ๆเลยล่ะ เราเดินไปพลางนึกย้อนไปว่าในสมัยนั้นค่ายบางระจันก็คงเป็นอารมณ์ประมาณนี้

หรือใครจะมาแบบเน้นกินก็ได้เหมือนกัน อาหารที่นี่เกือบทุกซุ้มจะออกแนวโบราณๆหมดเลย เช่น ขนมครก ไข่หงส์ ไข่เต่า แต่รสชาตินั้นอร่อยมากทีเดียว!

พ่อค้าแม่ค้าที่นี่เขาจะแต่งตัวย้อนยุคมานั่งจำหน่ายสินค้าด้วย ที่สำคัญทุกร้านพูดจาขอรับ/เจ้าค่ะกันหมด ทุกประโยคที่พวกเขาพูดคุยกันหรือพูดกับลูกค้าจะลงท้ายด้วยขอรับ/เจ้าค่ะหมดเลย ครั้งแรกที่ได้ยินเราแอบตกใจ แต่หลังๆเริ่มชินและดูเป็นความน่ารักแทน พวกเขาน่ารักกันมากเลยทีเดียว! พูดจากันไพเราะ ยิ้มแย้มแจ่มใส เราประทับใจมากๆถึงกับน้ำตาคลอเลย จริงๆนะ ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมถึงรู้สึกแบบนี้ มันคงทำให้เรานึกย้อนกลับไปว่าสมัยนั้นถ้าไม่มีสงครามชาวบ้านก็คงเป็นแบบนี้กัน มันเป็นอารมณ์ที่บอกไม่ถูกจริงๆ ต้องลองมาสัมผัสกันเอง!

เราเดินตลาดไปได้สักพักร้านทุกร้านเขาก็ตีกระบอกไม้ไผ่กัน เรางงมากตอนแรก แต่ก็นึกขึ้นได้ว่าเสียงนี้เป็นการเคาะบอกเหตุว่ามีศัตรูเข้ามาในค่ายนี่หว่า พวกเขาจำลองแบบเก็บรายละเอียดได้ครบเลยเชียว! ประทับใจมากๆเลย!

ก่อนกลับอย่าลืมแวะชิมน้ำตาลสดที่ร้านน้องต้นกล้าน้ำตาลสด แม่ค้าตาหวานแห่งตลาดไทยย้อนยุคบ้านระจัน (คลิกที่นี่เพื่อติดต่อทางร้าน) ร้านนี้มีเอกลักษณ์ตรงที่เป็นน้ำตาลสดในกระบอกไม้ไผ่ ขนาดราคาแล้วแต่ขนาดกระบอกไม้ไผ่เลย ที่สำคัญหมดแล้วเติมได้ตลอดเลย อะไรจะใจดีขนาดนี้!

รสชาติเป็นไงบ้างอ่ะเหรอ เราว่ามันอร่อยชื่นใจมากเวลาเดินเหนื่อยๆ น้ำตาลเขาไม่ได้หวานจ๋า แต่ว่าหวานแบบกลมกล่อมกำลังดี เราติดใจจนต้องขอเติมแก้ว 2 อ่ะ ฮ่าๆๆ

เราออกจากตลาดด้วยความเหนื่อยล้าและพอดีกับเวลาที่ควรจะกลับบ้านแล้ว ด้วยความเหนื่อยมากๆและใกล้ค่ำมากแล้ว เราเลยตัดสินใจไม่แวะวัดพิกุลทองกัน จุดเด่นๆของวัดนี้ คือ ที่นั้นจะมีหลวงพ่อแพกับพระพุทธสุวรรณมงคลมหามุนีหรือหลวงพ่อใหญ่ ถือเป็นวัดที่น่าสนใจมากทีเดียว ไว้คราวหน้าเราจะมาใหม่แน่นอน! เอาเข้าจริงแล้ว ที่เที่ยว สิงห์บุรี นั้นมีวัดให้เที่ยวเยอะมากถึง 178 แห่งกันเลยทีเดียว จึงถือว่า จ.สิงห์บุรี เป็นจังหวัดที่เหมาะแก่การเดินสายทำบุญไหว้พระเลยล่ะ คราวหน้าเราจะจัดทริปไปไหว้พระกัน และ จ.สิงห์บุรี นี่แหละคือจังหวัดที่เราจะเลือกเป็นอันดับต้นๆเลย บ๊ายบายสิงห์บุรี!

หากเพื่อนๆอยากดูรีวิวทั้งหมดเกี่ยวกับ ที่เที่ยว (ประเทศไทย) ของ ไป กัน มา ยัง แล้วล่ะก็ … คลิกที่นี่