ดอกนางพญาเสือโคร่ง เชียงราย ที่เที่ยว เวียงแก่น ดอยผาตั้ง ภูชี้ฟ้า
เมื่อเชียงรายอุณหภูมิลดลงเหลือ 8 องศา ดอกนางพญาเสือโคร่ง เชียงราย ก็เริ่มเบ่งบาน เรานี่รีบเก็บเสื้อผ้าใส่กระเป๋าแล้วบินไปสัมผัสกับอากาศหนาวๆโดยทันทีทันได ทริปนี้เรามีที่ท่องเที่ยวไฮไลท์สำหรับฤดูหนาวมาแนะนำ นั่นก็คือ โรงเรียนบรรพตวิทยา อ.เวียงแก่น, ดอยผาตั้ง, และภูชี้ฟ้า จ.เชียงราย นั่นเอง เป็นที่เที่ยวที่อยู่บนดอยสูงๆโน้น เรียกได้ว่ายิ่งสูงก็ยิ่งหนาวนะเอ่อ เดินนี่ขาสั่นพั๊บๆกันเลยทีเดียว
เราใช้เวลาแค่ 2 วัน 1 คืน กับ 3 สถานที่ท่องเที่ยวหน้าหนาวที่โด่งดังและน่าสนใจใน อ.เวียงแก่น จ.เชียงราย จะเป็นสถานที่ไหนบ้างนั้น ตามเรามาได้เลย…
เริ่มต้นด้วยการเดินทาง…
ทริปนี้เริ่มต้นจากเราออกจากที่พักแถว อ.แม่จัน กันแต่เช้าตรู่ ขับรถกระบะอีซูซุมุ่งหน้าสู่ อ.เวียงแก่น เราใช้เส้นทางจาก อ.แม่จัน ผ่าน อ.ดอยหลวง อ.เชียงของ และ อ.เวียงแก่น ระยะทางโดยรวมประมาณ 150 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางเกือบ 3 ชั่วโมงได้ แต่สำหรับใครที่พักแถวตัวเมืองเชียงรายแล้วล่ะก็ เราขอแนะนำให้ใช้อีกเส้นทางหนึ่ง นั่นก็คือ เส้นทางที่มุ่งหน้าสู่ อ.เทิง และ อ.เวียงแก่น ได้เลย ระยะทางจะใกล้กว่าเส้นทางที่เราไปมาก แต่แอบบอกก่อนว่า ทั้งสองเส้นทางนั้นจะขึ้นลงเขานิดหน่อย ทางอาจมีโค้งและชันบ้างบางครั้ง แต่ไม่ได้อันตรายมากเหมือนเส้นทางอื่นๆ แต่เพื่อความปลอดภัย ใครไม่ชำนาญเส้นทางเราแนะนำให้หาคนขับรถเก่งๆดีกว่าเนอะ
1) โรงเรียนบรรพตวิทยา อ.เวียงแก่น
เราขับรถมาจนถึงจุดเช็คอินแรกนั่นก็คือ โรงเรียนบรรพตวิทยา (ฝ่ายประถม) ตั้งอยู่ที่ อ.เวียงแก่น จ.เชียงราย บนเส้นทางไปดอยผาตั้งหรือภูชี้ฟ้าทางฝั่งเวียงแก่นนั่นเอง ที่นี่เป็นจุดชมซากุระเมืองไทยหรือ ดอกนางพญาเสือโคร่ง เชียงราย ที่มีมากกว่า 50 ต้น วิวของต้นนางพญาเสือโคร่งที่นี่จะมีฉากหลังเป็นภูเขาเรียงรายสลับกันไปมา ถือได้ว่าเป็นจุดชมดอกนางพญาเสือโคร่งที่สวยที่สุดเลยก็ว่าได้ สำหรับดอกนางพญาเสือโคร่งที่นี่นั้นจะบานในช่วงปลายเดือนธันวาคมถึงปลายเดือนมกราคมของทุกปี เราแนะนำว่า หากใครต้องการมาชมดอกนางพญาเสือโคร่งแบบ Full Bloom เหมือนเราแล้วล่ะก็ ช่วงกลางๆเดือนมกราคมถือเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจมากทีเดียว ใครมีโอกาสแวะมาที่เวียงแก่น ณ ช่วงเวลานี้ ห้ามพลาดด้วยประการทั้งปวงจ้า
จุดแรกที่เราแนะนำคือลานสนามบาสเก็ตบอลภายในโรงเรียนบรรพตวิทยา จุดนี้มีต้นนางพญาเสือโคร่งมากมายแข่งกันผลิบานแบบ Full bloom เต็มที่ ที่สนามบาสเก็ตบอลบริเวณนี้จะเป็นจุดชมดอกนางพญาเสือโคร่งแบบใกล้ชิดได้ เพราะบริเวณนี้จะอยู่สูงเท่ากับระดับของต้นนางพญาเสือโคร่งที่กำลังเบ่งบานสวยงาม
จุดที่สองเราแนะนำให้ลองเดินบนถนนคอนกรีตด้านล่างสนามบาสเก็ตบอลดู แล้วคุณจะรู้ว่าดงของดอกนางพญาเสือโคร่งนั้นสวยงามมากมายขนาดไหน
จุดที่สามเราแนะนำให้เดินขึ้นไปหลังโรงเรียนบรรพตวิทยา จุดนี้เราจะพบกับศาลเจ้าสีแดงตั้งตระหง่านอยู่ ที่นี่จะมีดอกนางพญาเสือโคร่งให้ถ่ายคู่กันกับศาลเจ้าสีแดงด้วย สีตัดกันสวยงามมากทีเดียว
2) ดอยผาตั้ง
ถัดจากโรงเรียนบรรพตวิทยามาประมาณ 2 กิโลเมตร เราจะพบกับจุดชมวิวของดอยผาตั้ง สำหรับดอยผาตั้งนั้นถือได้ว่าเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงอีกแห่งหนึ่งของ จ.เชียงราย ตั้งอยู่ในเขต ต.ปอ อ.เวียงแก่น จ.เชียงราย นั่นเอง มาที่นี่เราจะได้เดินขึ้นไปบนยอดดอยเพื่อชมวิวตามเนินต่างๆด้วย ประวัติคร่าวๆ คือ ดอยผาตั้งนั้นเป็นยอดดอยที่อยู่ในเทือกเขาหลวงพระบางนั่นเอง มีความสูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 1,800 เมตร เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ขึ้นชื่อสำหรับชมพระอาทิตย์ขึ้นท่ามกลางทะเลหมอกในตอนเช้า รวมทั้งชมพระอาทิตย์ตกในเวลาเย็นที่สวยงามมากอีกแห่งหนึ่ง ที่นี่ยังมีรีสอร์ทให้เราเลือกพักมากมายอีกด้วย ใครอยากมาพักผ่อนรับอากาศหนาวๆแล้วล่ะก็ ดอยผาตั้งถือเป็นอีกตัวเลือกหนึ่งที่ค่อนข้างน่าสนใจมากทีเดียว
เราขับรถมาจอดในบริเวณลาดจอดรถที่ตีนดอยผาตั้งกันก่อนเลย ตลอดสองข้างทางที่เราขับรถมารวมถึงที่ลานจอดรถนี้ด้วย เราจะได้พบกับดอกนางพญาเสือโคร่งมากมาย ทั้งสีชมพูเข้ม ชมพูอ่อน หรือสีขาว คละเคล้าสวยงามมากทีเดียว เรารีบจอดรถและหาข้าวกลางวันกินกัน ที่นี่มีร้านค้าเปิดให้บริการมากมายตลอดเส้นทาง ทั้งร้านข้าว ร้านของฝาก ยิ่งเป็นผลไม้หรือผักสดๆแล้วล่ะก็ กรุ๊บๆกรอบๆมากทีเดียว ที่สำคัญราคาถูกมากด้วย
จากตีนดอยผาตั้ง เราต้องเดินขึ้นเขาไปชมวิวตามเนินต่างๆ ระยะทางประมาณ 700-1000 เมตรได้ หากใครเดินไม่ไหว เราแนะนำให้ใช้บริการม้าเลยจ้า ราคาก็แล้วแต่ระยะทางเลย ลองนึกดูว่าจะฟินแค่ไหนหากเราได้นั่งบนหลังม้าไป ชมวิวไป ท่ามกลางอากาศเย็นสบายใจ ฮ่าๆๆ
จุดแรกที่เราแวะนั่นก็คือ ที่นี่เวียงแก่นนิวซีแลนด์เมืองไทย จุดนี้จะเป็นลานถ่ายรูปที่ต้องเดินลอดหน้าผาลงไป จุดๆนี้จะมีหัวใจให้เราได้ถ่ายรูปคู่กับฉากหลังที่เป็นวิวภูเขาสีเขียวขจีตัดกับสีของท้องฟ้าอย่างสวยงาม
เราเดินมาได้ครึ่งทาง ก็จะพบกับลานชมวิวที่มีพระพุทธรูปให้เราได้กราบไหว้ขอพรด้วย จุดนี้มีวิวสวยๆให้เราได้ชื่นชม ถือได้ว่าเป็นจุดพักเหนื่อยอีกด้วย แฮ่ๆๆ
เราเดินต่อไปเรื่อยๆ ก็จะพบกับ ช่องผาขาด จุดๆนี้ถือเป็นจุดที่ผู้คนนิยมมาถ่ายรูปลงโซเชี่ยวกัน ลักษณะบริเวณนี้จะเป็นหน้าผาที่มีก้อนหินขนาดใหญ่ขาดออกจากกันพอดี หากใครได้มาชมพระอาทิตย์ขึ้นท่ามกลางทะเลหมอกในช่วงเช้าๆแล้วล่ะก็ จุดนี้ถือว่าเป็นจุดไฮไลท์เลยก็ว่าได้
เราเดินต่อไปเรื่อยๆ ก็จะถึงเนิน 102 ทางเดินขึ้นเนินนั้นจะชันพอสมควร เรียกได้หอบแฮ๊กๆกันเลยทีเดียว แต่เธอเอ้ยยย! วิวข้างบนนี้สวยงามมาก เราสามารถมองวิวแบบ 360 องศาได้เลยแหละ หันไปทิศทางไหนก็สวยสุดๆโดยเฉพาะวิวบริเวณทางฝั่งลาว เราจะมองเห็นสันปันน้ำที่ใช้แบ่งเขตไทย-ลาวรวมทั้งแม่น้ำโขงอีกด้วย
ถัดจากเนิน 102 ก็จะเป็นทางเดินไปเนิน 103 เนินนี้จะอยู่สูงกว่าเนิน 102 มาก ทางเดินไปจึงชันมากด้วย หากใครยังพอเดินไหว เราแนะนำให้เดินไปชมวิวมุมสูงของเนิน 103 ที่สวยงามมากทีเดียว สำหรับใครที่เดินไปถึงแล้วล่ะก็อย่าลืมถ่ายรูปคู่กับป้าย “ผู้ชิตดอยผาตั้ง เนิน 103” ด้วยล่ะ เพราะนั่นหมายถึงว่าคุณเป็นคนที่อึดมากทีเดียว ฮ่าๆๆ
3) ลานกลางเต็นท์วนอุทยานภูชี้ฟ้า
หลังจากที่เราอยู่ดอยผาตั้งกันนานพอสมควร ก็ได้เวลาขับรถต่อมาที่ลานกลางเต็นท์วนอุทยานภูชี้ฟ้า เป็นระยะทางอีก 10 กิโลเมตรได้ เราตั้งใจไว้ว่าคืนนี้เราจะกลางเต็นท์นอนกันที่นี่ เพื่อที่จะรอชมพระอาทิตย์ตกดินยามเย็น นั่งดูดาวช่วงกลางคืน และขึ้นไปชมทะเลหมอกยามเช้าที่ยอดภูชี้ฟ้านั่นเอง (คลิกอ่านข้อมูลเพิ่มเติมจากเว็ปไซค์ของสำนักอุทยานแห่งชาติ … คลิกที่นี่ …)
ช่วงเวลาพระอาทิตย์กำลังจะตกดินบริเวณลานกลางเต็นท์วนอุทยานภูชี้ฟ้าแห่งนี้ จะถูกปกคลุมไปด้วยแสงสีเหลืองส้มสาดส่องเต็มท้องฟ้า ท่ามกลางอากาศที่ค่อนข้างหนาวเย็นลงมาเรื่อยๆ เราแอบอยากบอกว่า หนาวกว่าญี่ปุ่นอีกอ่ะ จริงๆ
ตกกลางคืนเราแนะนำให้ออกมาตั้งกล้องดูดาวกันดีกว่า ดาวคืนนี้สว่างไสวเต็มท้องฟ้าเลยทีเดียว เสียดายที่ครั้งนี้เราไม่ได้เอาขาตั้งกล้องมาด้วย จึงทำได้แค่เอากล้องวางบนพื้น กดถ่าย และก็นั่งรอ ฮ่าๆๆ นี่เป็นครั้งแรกที่เราถ่ายรูปดาวด้วยแหละ (แอบอยากบอกว่ามันยากมากทีเดียว) ฮ่าๆๆ แต่ๆ มันก็สวยงามเหมือนกันนะเราว่า (มีแอบชมตัวเองด้วย) ฮ่าๆๆ
4) ภูชี้ฟ้า
เราตื่นกันตั้งแต่ตี 4 เพื่อที่จะรีบขับรถขึ้นไปชมพระอาทิตย์ขึ้นท่ามกลางทะเลหมอกบนยอดภูชี้ฟ้า หลังจากจอดรถกันเสร็จ เราก็ต้องเดินเท้าต่อไปอีก 700 เมตรได้ ใครมาที่นี่ช่วงเช้าตรู่ เราแนะนำให้ติดไฟฉายมาด้วยซักกระบอกหนึ่งสำหรับส่องทางเดินที่มืดมาก เรารีบจับจองพื้นที่สำหรับชมพระอาทิตย์ขึ้น พอได้เห็นแสงสีเหลืองๆส้มๆโผล่ขึ้นมาบนท้องฟ้า เธอเอ้ยยย! แค่นี้ก็สวยมากแล้วจริงๆ
พอแสงเริ่มเยอะขึ้น เราก็จะมองเห็นทะเลหมอกขาวๆหนาๆลอยอยู่เต็มเบื้องล่างของยอดภู มันสวยงามมากจริงๆ เราแนะนำให้ทุกคนมาเห็นด้วยตาของตัวเอง แล้วจะรู้ว่าความสวยงามที่แท้จริงนั้นมันบรรยายเป็นคำพูดไม่ได้จริงๆ
เรารอกันอยู่ซักพัก ก้อนกลมๆสีส้มๆก็เริ่มลอยโผล่พ้นทะเลหมอกขึ้นมา ทุกคนปรบมือเสียงดังลั่น นี่เป็นการชมพระอาทิตย์ขึ้นที่สวยและประทับใจที่สุดของเราเลยก็ว่าได้
เมื่อพระอาทิตย์เริ่มส่องแสงทอประกายเต็มท้องฟ้า เราก็จะพบกับวิวของยอดภูชี้ฟ้าตั้งเด่นตระการตาอยู่ แอบขอเล่าประวัติคร่าวๆหน่อยว่า ภูชี้ฟ้านี้เป็นยอดเขาสูงในเทือกเขาดอยผาหม่นซึ่งติดกับชายแดนไทย-ลาว มีลักษณะเป็นหน้าผาสูงเป็นแนวยาวไปตามแนวชายแดน โดยบริเวณปลายสุดของหน้าผานี้จะมีลักษณะแหลมคล้ายกับนิ้วมือชี้ยื่นออกไปในอากาศ นั่นจึงเป็นที่มาของชื่อ “ภูชี้ฟ้า” นั่นเอง โดยจุดที่สูงสุดของภูชี้ฟ้านี้อยู่สูงจากระดับน้ำทะเลปานกลาง 1,200 ถึง 1,628 เมตรเลยล่ะ และนี่แหละคือครั้งหนึ่งที่ภูชี้ฟ้าของเรา สวยงาม และโคตรประทับใจ!
เรากลับลงมาเก็บเต็นท์ จ่ายค่าธรรมเนียมต่างๆให้กับวนอุทยาน แล้วก็ขับรถกลับบ้านกัน เชื่อไหมว่าทริปนี้เป็นอีกทริปหนึ่งที่เราโคตรจะประทับใจเลย เราได้มาสัมผัสกับอากาศหนาวๆ เราได้ใส่เสื้อกันหนาวหนาๆ เราได้ก่อกองไฟปิ้งย่างอุ่นๆ เราได้เห็น ดอกนางพญาเสือโคร่ง เชียงราย สีชมพูขาวเบ่งบานสะพรั่ง เราได้ชมวิวตามเนินสูงๆ ที่สำคัญเราได้ใกล้ชิดกับธรรมชาติแบบสุดๆ เราเชื่อแล้วล่ะว่าธรรมชาติมีความสวยงามให้เราได้เห็นเสมอ ขอเพียงเราช่วยกันรักษาธรรมชาติ สิ่งสวยงามเหล่านั้นก็จะอยู่คู่กับเราไปตลอดกาล!
หากเพื่อนๆอยากดูรีวิวทั้งหมดเกี่ยวกับ ที่เที่ยว (ประเทศไทย) ของ ไป กัน มา ยัง แล้วล่ะก็ … คลิกที่นี่