ใบไม้เปลี่ยนสี trip in Kyoto-Osaka x Toyota Rent a Car
เมื่อญี่ปุ่นเข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วง ใบเมเปิ้ลที่เขียวขจีก็เปลี่ยนสีเป็นสีส้มและสีแดง ต้นแป๊ะก๊วยที่เคยเขียวชอุ่มก็จะผลัดใบเป็นสีเหลือง ฤดูกาลนี้ทำให้ประเทศญี่ปุ่นมีสีสัน ดึงดูดใจให้นักท่องเที่ยวจากทั่วทุกมุมโลกต้องแวะเวียนมาสัมผัสกับความสวยงามของ ใบไม้เปลี่ยนสี เหล่านั้นกัน
เกียวโตและโอซาก้าเป็นสถานที่ชม ใบไม้เปลี่ยนสี ที่สวยที่สุดอันดับต้นๆของประเทศญี่ปุ่น ทริปนี้เราจะพาไปเช่ารถ Toyota Rent a Car ขับเที่ยวชม ใบไม้เปลี่ยนสี ในสถานที่ต่างๆรอบเมืองเกียวโตและโอซาก้า รับรองได้ว่าเพื่อนๆจะเพลิดเพลินไปกับความสวยงามของ ใบไม้เปลี่ยนสี เหล่านั้นอย่างแน่นอน!
เริ่มต้นทริป ใบไม้เปลี่ยนสี …
เริ่มต้นทริปด้วยการวางแผนการเดินทาง ทริปนี้เราเดินทางร่วมกับพี่ๆที่ทำงานอีก 4 คนเพื่อไปชมความสวยงามของใบไม้เปลี่ยนสีที่เมืองเกียวโตและโอซาก้า ประเทศญี่ปุ่น ด้วยการเดินทางครั้งนี้เราเดินทางเป็นกลุ่มคณะเล็กๆ 5 คน พวกเราจึงวางแผนเช่ารถ Toyota Rent a Car ขับเที่ยวตามสถานที่เที่ยวต่างๆซึ่งจะประหยัดค่าใช้จ่ายมากกว่าการแยกซื้อ Pass รถไฟของแต่ละคน เมื่อแผนการเดินทางพร้อมแล้ว ก็ได้เวลาที่พวกเราออกเดินทางกัน…
ทริปนี้เราเลือกใช้บริการรถเช่าของ Toyota Rent a Car เนื่องจากที่นี่มีรถให้บริการหลากหลายรุ่น ไม่ว่าเราจะเที่ยวเป็นกลุ่มเล็กหรือกลุ่มใหญ่ จะเป็นเด็ก ผู้ใหญ่ หรือผู้สูงอายุ ทาง Toyota Rent a Car ก็มีรถทุกประเภทไว้ให้เราเลือก อีกทั้งภายในของรถ Toyota Rent a Car นั้นยังมีระบบ GPS ทุกคันและยังมีเครื่องอ่านบัตร ETC สำหรับขับผ่านทางด่วนโดยไม่ต้องหยุดรถ ถือได้ว่ามีความสะดวกสบายมากๆ นอกเหนือจากนี้ Toyota Rent a Car ยังมีเว็ปไซค์เป็นภาษาไทยให้คนไทยได้จองรถเช่าล่วงหน้าอีกด้วย ที่สำคัญทาง Toyota Rent a Car ยังมีสาขาต่างๆเปิดให้บริการมากมายในทุกเมือง เรียกได้ว่าเราสามารถรับและคืนรถได้ทุกที่ทุกเวลา สะดวกสบายสุดๆไปเลย
สำหรับขั้นตอนการจองรถเช่ากับ Toyota Rent a Car นั้นก็ไม่ยากเลย ก่อนอื่นเราต้องมีใบขับขี่สากลเสียก่อนซึ่งเราสามารถนำใบขับขี่ 5 ปีของเราไปทำเป็นใบขับขี่สากลที่กรมการขนส่งทางบก หลังจากนั้นเราก็เข้าไปในเว็ปไซค์ https://rent.toyota.co.jp/th/ ทำการกรอกข้อมูลส่วนตัวต่างๆ แล้วเลือกรุ่นรถยนต์ที่ต้องการ จำนวนผู้โดยสาร จำนวนสัมภาระที่จะบรรทุก วันเวลาสถานที่รับและคืนรถ ตัวเลือกเสริมอื่นๆ เช่น รถ 4WD เบาะนิรภัยสำหรับเด็กอายุต่ำกว่า 6 ขวบ เป็นต้น จากนั้นก็เลือกวิธีการชำระเงิน และทำการชำระเงินก็เป็นอันเสร็จสมบูรณ์ หลังจากนั้นเราก็จะได้รับเอกสารยืนยันการจองรถทางอีเมล์จาก Toyota Rent a Car เมื่อถึงวันรับรถ เราก็แค่นำเอกสารยืนยันนั้นไปติดต่อตามวันเวลาและสถานที่ที่เราจองไว้ได้เลย
เมื่อถึงวันรับรถ เราตื่นกันแต่เช้าตรู่และเข้าไปติดต่อรับรถตามเวลาและสาขาที่เรานัดไว้ เมื่อไปถึงเจ้าหน้าที่เขาก็จะจัดเตรียมรถไว้ให้เราเรียบร้อยแล้ว เมื่อเราเข้าไปติดต่อเอกสารกับ Office เสร็จเรียบร้อย เจ้าหน้าที่ก็จะพาเรามาตรวจรับรถ ตรวจสอบร่องรอยความเสียหายต่างๆและลงบันทึกไว้ หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่ก็จะสอนการใช้ GPS ในรถและวิธีการใช้งานต่างๆของรถให้กับเรา เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยเราก็ออกเดินทางกันได้เลย
1) วัด Tofukuji
เราเริ่มต้นทริปด้วยการขับรถมาวัด Tofukuji ด้านหน้าวัดจะมีที่จอดรถแบบเช่าจอดรายชั่วโมงอยู่หลายที่ หลังจากที่เราจอดรถเรียบร้อย พวกเราก็เดินเข้าไปในวัด ที่นี่คิดค่าเข้าชม 400¥ ต่อคน
วัด Tofukuji ตั้งอยู่ที่ทางทิศใต้ของเมือง Kyoto ถือเป็นวัดเซนขนาดใหญ่และเก่าแก่ที่โด่งดังมากในเรื่องของการเป็นจุดชมใบไม้แดงที่สวยงามที่สุดของเมืองเกียวโต วัดนี้ถูกสร้างขึ้นตั้งแต่ปี ค.ศ. 1236 โดยตระกูล Fujiwara ชื่อของวัด Tofukuji มาจากการนำชื่อวัดใหญ่ 2 แห่งของเมืองนาราซึ่งอยู่ภายใต้ตระกูล Fujiwara มารวมกัน คือวัด Todaiji และวัด Kofukuji นั่นเอง
วัด Tofukuji ถือเป็นหนึ่งในสถานที่ชมใบไม้เปลี่ยนสีที่สวยงามที่สุดในเมืองเกียวโต และยังถือว่าติดอันต้นๆของประเทศญี่ปุ่นอีกด้วย ที่นี่มีต้นเมเปิ้ลมากกว่า 2,000 ต้น พลัดเปลี่ยนใบเป็นสีเหลือง ส้ม และแดง แบบไล่เลี่ยกัน จุดที่นิยมที่สุดในการชมใบไม้แดงของวัดนี้ก็คือ สะพาน Tsutenkyo ที่นี่จะมีใบเมเปิ้ลปกคลุมสะพานยาวถึง 100 เมตร และสามารถมองเห็นทะเลของใบเมเปิ้ลสีแดงด้านล่างอย่างสวยงาม
เราสามารถใช้สะพาน Tsutenkyou เดินเชื่อมระหว่างโบสถ์หลัก Hojo ไปโบสถ์ Kaizando ได้ด้วย โดยบริเวณโบสถ์ Kaizando แห่งนี้จะมีการประดับตกแต่งสวนญี่ปุ่นสีเขียวสวยงามให้เราได้เดินชมอีกด้วย
2) วัด Kiyomizu-dera
วัด Kiyomizu-dera หรือวัดน้ำใส เป็นสถานที่ชมใบไม้แดงที่มีชื่อเสียงอีกแห่งหนึ่งของเมืองเกียวโต หลังจากที่เราเยี่ยมชมวัด Tofukuji เสร็จเรียบร้อย พวกเราก็ขับรถกันต่อไปที่วัด Kiyomizu-dera โดยจอดรถแบบเช่าจอดรายชั่วโมงบริเวณข้างๆวัดอีกเช่นเคย การเข้าชมวัดนี้มีค่าเข้าชมคนละ 400¥
วัด Kiyomizu-dera หรือวัดน้ำใส ถูกสร้างขึ้นในปี ค.ศ. 780 เป็นวัดที่มีสถาปัตยกรรมโบราณที่งดงามจนยูเนสโกได้บันทึกให้วัดแห่งนี้ขึ้นเป็นมรดกโลก (UNESCO world heritage sites) โดยที่มาของชื่อวัดน้ำใสมาจากการที่มีน้ำที่ใสสะอาดที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติจากน้ำตกโอโตวะไหลผ่านตัววัดนั่นเอง
จุดที่ถือว่าเป็นไฮไลท์ของที่นี่ก็คือ อาคารไม้ขนาดใหญ่ที่มีเสาของตัวอาคารสูงถึง 13 เมตรจากพื้นดิน ถูกสร้างเป็นอาคารโดยไม่มีการใช้ตะปูใดๆทั้งสิ้น อีกทั้งโถงอาคารของที่นี่ถูกสร้างให้ยื่นออกไปภายนอกทำให้บริเวณนี้เป็นจุดชมวิวที่สวยงาม มองเห็นเจดีย์สีส้มแดง 3 ชั้นและวิวเมืองเกียวโตไกลสุดลูกหูลูกตา รวมทั้งยังเป็นจุดชมใบไม้แดงที่ขึ้นชื่อของเกียวโตอีกด้วย
เราเดินตามทางมาเรื่อยๆก็จะพบกับบริเวณสวนใบเมเปิ้ลของวัด Kiyomizu-dera ที่นี่มีต้นเมเปิ้ลมากมายผลัดเปลี่ยนใบเป็นสีส้ม เหลือง แดง สลับกันไป โดยภายในสวนนั้นเราจะพบกับบ่อน้ำ 3 สายของน้ำตกโอโตวะ ที่นี่มักจะมีผู้คนมาดื่มน้ำขอพรเรื่องสุขภาพ ความรัก และความสำเร็จทางการศึกษาตามท่อบ่อน้ำเหล่านั้นอีกด้วย
มุมของใบเมเปิ้ลสีแดงกับยอดของเจดีย์สีส้ม 3 ชั้นนั้น สวยงามมากทีเดียว มุมๆนี้ มีผู้คนมาถ่ายรูปกันอย่างหนาแน่นมาก!
บริเวณหน้าวัดจะเป็นถนนคนเดินยาวประมาณ 500 เมตรได้ ตลอด 2 ข้างทางของถนนเส้นนี้จะมีร้านค้า ร้านอาหาร และร้านของที่ระลึกต่างๆจำหน่ายมากมาย
3) Arashiyama
เราตื่นเช้าขึ้นมาในวันที่ 2 วันนี้เราขับรถมาเกียวโตอีกเช่นเคย สถานที่แรกที่เรามาก็คือ Arashiyama นั่นเอง ที่นี่ตั้งอยู่ทางทิศตะวักตกของเมืองเกียวโต เป็นอีกเขตหนึ่งที่นักท่องเที่ยวนิยมเดินทางมาเที่ยวชมกันอย่างคับคั่งในช่วงช่วงใบไม้แดงหรือใบไม้เปลี่ยนสี ซึ่งเราจะมองเห็นภูเขาทั้งหมดของ Arashiyama นั้นเป็นภูเขาลูกกวาดคละสีสวยงาม
ตัวเมือง Arashiyama นั้นจะคึกคักมากในช่วงวันหยุด มีทั้งร้านค้า ร้านอาหาร ให้ช๊อปปิ้งและกินอิ่มกันอย่างจุใจ และบริเวณโดยรอบก็สามารถเดินเที่ยวรับลมเย็นๆได้เรื่อยๆ ซึ่งพวกเราเริ่มต้นเที่ยวที่นี่ด้วยสะพาน Togetsukyo นั่นเอง
Togetsukyo Bridge หรือที่เรารู้จักกันในชื่อ Moon Crossing Bridge เป็นสะพานที่ถูกสร้างขึ้นในสมัยเฮอันประมาณในช่วง ค.ศ. 794 – ค.ศ. 1185 สะพานนี้เรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งสัญลักษณ์สำคัญของเมือง Arashiyama เลยก็ว่าได้ ด้วยความเป็นมาอันยาวนานรวมไปถึงความงดงามของสะพานที่มีฉากหลังเป็นภูเขาสูงใหญ่และด้านล่างเป็นแม่น้ำที่ทั้งสองฝั่งมีต้นเมเปิ้ลสีสันต่างๆเรียงรายเรียบแม่น้ำไปเรื่อยๆ ที่นี่จึงมีผู้คนแวะมาเยี่ยมชมแบบไม่ขาดสาย
จุดถ่ายรูปยอดนิยมของที่นี่ก็คือบริเวณทางเดินเรียบแม่น้ำทั้งสองฝั่งจะมีต้นเมเปิ้ลผลัดใบสีสันต่างๆยื่นเข้าไปในแม่น้ำขณะที่มีเรือโบราณนำเที่ยวแล่นผ่าน ถือเป็นภาพที่สวยงามมากทีเดียว
4) The Sagano Romantic Railway
หลังจากที่พวกเราเดินชมวิวสองฝั่งแม่น้ำของ Arashiyama เสร็จ พวกเราก็เดินไปสถานีรถไฟชมวิวซากาโน่ หรือ The Sagano Romantic Railway หรือที่คนไทยรู้จักกันในชื่อรถไฟสายโรแมนติกนั่นเอง
เราซื้อตั๋วขึ้นรถไฟแบบไปกลับในราคา 620¥ ต่อเที่ยว เส้นทางที่รถไฟขบวนนี้เริ่มต้นที่สถานี Torokko Saga บริเวณ Arashiyama ไปจนถึงสถานี Torokko Kameoka เป็นระยะทางทั้งหมดกว่า 7 กิโลเมตร ใช้เวลาประมาณทั้งหมด 25 นาทีต่อเที่ยว โดยรถไฟขบวนนี้จะพาเราไปชมวิวทิวทัศน์ของและสถานที่ต่างๆที่ตั้งอยู่เรียบแม่น้ำโฮซุกาวา (Hozugawa River) ที่มีต้นเมเปิ้ลสีสันต่างๆเรียงรายขนาบข้างทางรถไฟ นอกจากนี้เรายังจะมองเห็นหุบเขาสลับซับซ้อนและบ้านเรือนชนบทของเมือง Kameoka อีกด้วย
ช่วงเวลาที่พีคที่สุดของการมาชม Sagano Romantic Railway จะเป็นในช่วงฤดูใบไม้ร่วงที่เริ่มตั้งแต่กลางเดือนพฤศจิกายนถึงต้นเดือนธันวาคม ซึ่งช่วงเวลานี้อากาศจะเย็นสบาย และเรายังจะได้เห็นใบไม้สีเหลือง สีส้ม และสีแดง เรียงรายเต็มภูเขา ทำให้ภูเขามีสีสีนสวยงาม
5) Arashiyama Bamboo Groves
หลังจากที่เรานั่ง Sagano Romantic Railway ย้อนกลับมาที่ Arashiyama อีกครั้ง เราตัดสินใจไปเดินชมสวนป่าไผ่ (Bamboo Groves) กันต่อ โดยลงรถไฟ Sagano ที่สถานี Torokko Arashiyama
สวนป่าไผ่ (Arashiyama Bamboo Groves) เป็นสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติของ Arashiyama ที่นี่จะมีทางเดินเล็กๆท่ามกลางป่าไผ่ที่สูงไกลสุดลูกหูลูกตา ในฤดูใบไม้ร่วงในช่วงเวลาเย็นๆ สวนป่าไผ่แห่งนี้จะประดับไฟสีเหลืองนวลๆสวยงาม นอกจากนี้ที่นี่ยังมีบริการรถลากแบบโบราณๆให้ได้ลองนั่งชมวิวป่าไผ่กันเพลินๆอีกด้วย
6) ปราสาทโอซาก้า (Osaka Castle)
เช้าวันที่ 3 พวกเราตื่นนอนกันแต่เช้าตรู่ หลังจากทุกคนทำภารกิจส่วนตัวเสร็จ พวกเราก็ขับรถออกเดินทางไปชมปราสาทโอซาก้ากัน ที่นี่มีลานจอดรถบัสและรถส่วนตัวไว้ให้บริการมากมาย เราจึงไม่ต้องเสียค่าเช่าที่จอดรถรายชั่วโมงเหมือนที่เที่ยวอื่นๆ
ปราสาทโอซาก้า (Osaka Castle) แลนด์มาร์กยอดนิยมเมื่อมาเยือนเมืองโอซาก้า ด้วยความยิ่งใหญ่อลังการของตัวปราสาทที่มีถึง 8 ชั้น ห้อมล้อมด้วยกำแพงหิน คูน้ำ ไปจนถึงมีสวนนิชิโนมารุ (Nishinomaru Garden) สำหรับชมใบไม้เปลี่ยนสีที่คลอบคลุมพื้นที่ขนาดใหญ่ จึงทำให้นักท่องเที่ยวทั้งชาวญี่ปุ่นและชาวต่างชาติหลั่งไหลเข้ามาชมความสวยงามกันอย่างไม่ขาดสาย
ปราสาทโอซาก้า (Osaka Castle) ถูกสร้างขึ้นในปี ค.ศ.1583 โดยท่านโทโยมิ ฮิเดะโยชิสร้างปราสาทแห่งนี้ขึ้นมาเพื่อใช้เป็นศูนย์กลางแห่งใหญ่ของญี่ปุ่น จนกลายมาเป็นปราสาทโอซาก้าในปัจจุบัน ประวัติบอกว่าหลังจากที่ท่านโทโยมิ ฮิเดะโยชิเสียชีวิตลงไม่นาน ก็เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นจากการโดนโจมตีจากโทคุกาว่า แม้จะมีการปรับปรุงสร้างใหม่ในปี ค.ศ. 1620 อีกครั้ง ก็ยังจะเกิดฟ้าผ่าทำให้ปราสาทได้รับความเสียหายอย่างหนัก แต่ด้วยความตั้งใจจะอนุรักษ์สิ่งปลูกสร้างอันทรงคุณค่าจึงได้มีการบบูรณะมาเรื่อยๆ จนถึงในปัจจุบันที่มีการสร้างลิฟต์เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่นักท่องเที่ยวที่มาเที่ยวชม
ที่รอบนอกปราสาทโอซาก้าแห่งนี้ยังมีบริการรถไฟนำเที่ยวรอบๆปราสาทอีกด้วย โดยรถไฟขบวนนี้จะจอดพักตามจุดเด่นๆต่างๆซึ่งเราสามารถเดินลงไปชมวิวหรือถ่ายรูปได้อีกด้วย
บริเวณสวนนิชิโนมารุ (Nishinomaru Garden) มีต้นเมเปิ้ลสีสันต่างๆและต้นไม้อื่นๆที่กำลังผลัดเปลี่ยนสีของใบเป็นสีส้ม เหลือง และแดง
7) Shinsaibashi
หลังจากที่พวกเราเดินชมปราสาทโอซาก้ากันอย่างจุใจแล้ว ในที่สุดก็ถึงเวลาช๊อปปิ้งซะที พวกเราขับรถออกจากปราสาทโอซาก้า ใช้เวลาไม่นานก็มาถึงย่าน Shinsaibashi พวกเรานำรถไปเช่าจอดอีกเช่นเคย แต่ลานจอดรถที่นี่จะอยู่บนตึกต่างๆ เมื่อเราติดต่อขอเช่าที่จอดรถเสร็จก็จะมีพนักงานนำรถของเราขับเข้าที่รับจอดอัตโนมัติ หลังจากนั้นเราก็จะได้รับคีย์การ์ดมา 1 ใบสำหรับนำกลับมารับรถของเรา
ย่าน Shinsaibashi นั้นจะเป็นย่านของถนนสายช๊อปปิ้งที่มีความยาวมากถึง 600 เมตร ที่นี่เต็มไปด้วยร้านค้าปลีกต่างๆ ร้านเฟรนไชส์ และเสื้อผ้าแฟชั่นแบรนด์ชั้นนำ รวมถึงร้านอาหารและร้านขนมด้วย ถือได้ว่าเป็นย่านสวรรค์ของคนรักการช๊อปปิ้งก็ว่าได้ เพราะนอกจากที่นี่จะมีสินค้าแบรนด์ชั้นนำมากมายแล้ว สินค้าของย่านนี้ยังมีคุณภาพและราคาสบายกระเป๋า ที่สำคัญย่านนี้มี Tax Free ให้เหล่านักท่องเที่ยวอย่างพวกเราอีกด้วย
8) Dotonbori
พวกเราเดินช๊อปปิ้งกันไปเรื่อยๆ เข้าร้านรองเท้าบ้าง ร้านกระเป๋าและเครื่องสำอางบ้าง ซักพักก็เดินมาถึงย่าน Dotonbori
สำหรับย่าน Dotonbori นั้นจะอยู่ติดกันกับย่าน Shinsaibashi เลย ที่นี่เป็นแหล่งรวบรวมร้านอาหาร ร้านค้า และแหล่งบันเทิงยามค่ำคืนไว้ในที่เดียวกัน ถือได้ว่าเป็นย่านที่มีชื่อเสียงมากอีกแห่งหนึ่งของโอซาก้า เรียกได้ว่าไม่ว่าใครถ้ามาโอซาก้าแล้วไม่มาย่าน Dotonbori นี่เหมือนยังมาไม่ถึงโอซาก้ากันเลยทีเดียว ในช่วงเวลากลางคืนนั้นที่นี่จะเต็มไปด้วยสีสันของบรรดาร้านค้าต่างๆคึกคักมากมาย จุดเด่นของย่านนี้คือป้ายไฟกูลิโกะ (Glico Running Man sign) ที่ชื่อเสียงโด่งดังเสมือนเป็นสัญลักษณ์อีกอย่างของโอซาก้าเลยทีเดียว
ที่นี่ยังมีบริการล่องเรือแม่น้ำทมโบริ (Tombori River Cruise) อีกด้วย เรือจะล่องไปตามแม่น้ำทมโบริผ่านวิวเมืองต่างๆ ใช้เวลา 20 นาที ค่าบริการ 700¥ ต่อคน การล่องเรือนี้จะทำให้เราเพลิดเพลินกับวิวของเมืองโอซาก้าโดยเฉพาะอย่างยิ่งในเวลากลางคืนที่จะเห็นสีสันจากร้านค้าต่างๆอย่างสวยงาม
9) Kani Doraku
ข้างๆป้ายไฟกูลิโกะของย่าน Dotonbori นั้น เราเดินต่อมาอีกนิดหน่อยก็ถึงร้านขาปูยักษ์ Kani Doraku
ด้วยความที่ร้านมีชื่อเสียงมากในเรื่องขาปูยักษ์สูตรต้นตำรับแห่งโอซาก้า ร้าน Kani Doraku นั้นจึงมีผู้คนนิยมมาต่อคิวยาวเหยียดเพื่อชิมขาปูยักษ์กัน พวกเราต่อคิวอยู่นานเกือบ 2 ชั่วโมงได้ เล่นเอาเหนื่อยกันเลยทีเดียว
บรรยากาศในร้านถูกตกแต่งสไตล์บ้านญี่ปุ่น พวกเราได้ห้องเดี่ยวๆเป็นส่วนตัว ภายในห้องนั้นจะมีโต๊ะญี่ปุ่นอยู่กลางห้องและมีเบาะรองนั่งวางไว้ตามจำนวนของผู้เข้าใช้บริการ ที่นี่พนักงานเรียบร้อยและดูแลเอาใจใส่ดีมาก พวกเราสั่งเซ็ตชาบูขาปูยักษ์และสุกี้ขาปูไปอย่างละชุด สักพักพนักงานก็เริ่มเสิร์ฟอาหารด้วยชุดอาหารเรียกน้ำย่อยต่างๆ
เริ่มต้นด้วย เมนูขาปูยักษ์ ซึ่งสามารถทานดิบได้ รสชาตินั้นอร่อยมากๆ บอกเลย!
และนี่ก็คือ ขาปู สำหรับนำไปจุ่มในหม้อชาบู
ส่วนนี้ก็คือ ขาปูย่างไฟ ซึ่งเนื้อปูนั้นจะหอมหวานและแน่นมาก
สำหรับส่วนต่างๆ ของขาปูนั้น จะมีเนื้อปูแน่นๆติดอยู่ทุกส่วน ซึ่งสามารถกินได้ทุกส่วนเลย!
และนี่ก็คือ เช็ตสุกี้ขาปูยักษ์!
ตามมาด้วย ซูชิขาปู และไส้อื่นๆ
ส่วนของกระดองปูนั้น พนักงานที่นี่ จะนำไปย่างกับไฟร้อนๆ และเทเนื้อปูฉีกฝอยลงไปคลุกเคล้ากับมันปูที่ติดกระดอง รสชาตินั้น หอม หวาน มัน และอร่อยมากๆ
เมื่อกินอิ่มแล้ว พนักงานก็จะนำข้าวมาต้มในหม้อชาบูและสุกี้ของเรา ทำเป็น เมนูข้าวต้มปู ที่อร่อยมากๆเหมือนกัน!
ปิดท้ายด้วย ไอศกรีมผลไม้ นิดหน่อย อิ่มหนำสำราญกันถ้วนหน้า!
หลังจากที่พวกเรากินกันอิ่ม พวกเราก็กลับมาเดินช๊อปปิ้งกันต่ออีกนิดหน่อย หลังจากนั้นก็กลับที่พักไปช่วยกันแพ็คกระเป๋าเตรียมตัวบินกลับไทยในวันรุ่งขึ้น เช้าวันกลับเราตื่นกันแต่เช้าตรู่เหมือนเช่นเคย หลังจากนั้นก็ขับรถไปสนามบิน ทริปนี้เราคืนรถที่สนามบินเลย วิธีการคืนนั้นง่ายมาก พอเราแจ้งเรื่องคืนรถก็จะมีเจ้าหน้าที่พาเราไปตรวจสอบสภาพรถว่ามีรอยขีดหรือบุบเกิดขึ้นเพิ่มเติมหรือเปล่า หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่ก็จะนำ ETC ไปตรวจสอบว่ามีค่าใช้ทางด่วนพิเศษเท่าไหร่ เราก็ชำระเงินค่าผ่านทางตามที่เจ้าหน้าที่แจ้งก็เป็นอันเสร็จเรียบร้อยเรื่องการคืนรถ ทริปนี้พวกเราสนุก มีความสุข และตื่นเต้นมากที่ได้เช่ารถ Toyota Rent a Car มาขับไปเที่ยวกัน การขับรถที่ญี่ปุ่นนั้นง่ายและสะดวกมากๆ ที่นี่ผู้คนเขาเคารพกฎจราจรกันอย่างเคร่งครัดทำให้การขับรถเที่ยวนั้นปลอดภัยและไม่วุ่นวาย อีกทั้งยังประหยัดทั้งเวลาและค่าใช้จ่ายอื่นๆได้เยอะมาก หากเรามีโอกาสได้กลับมาเที่ยวญี่ปุ่นอีก Toyota Rent a Car จะเป็นตัวเลือกในการเดินทางที่เราจะเลือกใช้บริการอีกตลอดไป…
หากเพื่อนๆอยากดูรีวิวทั้งหมดเกี่ยวกับ ที่เที่ยว (ต่างประเทศ) ของ ไป กัน มา ยัง แล้วล่ะก็ … คลิกที่นี่