Chocolate Ville สวนอาหารสไตล์ยุโรปใจกลางเมืองกรุง (เกษตร-นวมินทร์)
Chocolate Ville เกษตร-นวมินทร์ ไปกันมายัง ?
มาแล้วครับมาแล้ว! หลังจากห่างหายกันไปนานเลย! ก็เพราะช่วงนี้ฝนตกบ่อยๆ จะไปไหนมาไหนก็โคตรจะลำบาก เปียกปอนกันเป็นว่าเล่น! แต่ก็ไม่ใช่อุปสรรคที่จะหยุดผมไม่ให้ออกไปเที่ยวได้! วันนี้ผมจะพาไป Chocolate Ville ซึ่งเป็นสวนอาหารสไตล์ยุโรป อยู่บนถนนเกษตร-นวมินทร์นี่เอง ที่นี่จะมีวิวสวยๆให้เราได้ถ่ายรูปมากมาย บรรยากาศดีมาก และอีกอย่างอาหารก็อร่อยมากด้วย!
จริงๆแล้ว ผมโดนเพื่อนคนรู้ใจบังคับให้ออกไปด้วยต่างหาก เพราะอยู่ดีๆ เธอก็อยากจะกินอาหารอิตาเลี่ยนขึ้นมาซะงั้น แถมอยากไปกินที่ Chocolate Ville ด้วย ลำบากผมนี่แหละครับที่ต้องพาเธอไป ไม่งั้นมีโดนงอนแน่นอน ฮ่าๆ
เรื่องราววันนี้มันจะ Cute Cute หน่อยนะครับ เพราะผมพาเธอไปด้วย! เรื่องราวจะเป็นอย่างไรบ้างนั้น ติดตามกันใต้ภาพได้เลยครับ!
Chocolate Ville เป็นร้านอาหารภายใต้ Concept ที่ว่า Dining in the park ตั้งอยู่บนถนนเกษตร-นวมินทร์ อยู่ใกล้ๆกับแยกนวมินทร์ โดยสไตล์ของร้านจะเป็นสวนอาหารนานาชาติสไตล์ยุโรป ซึ่งมีพื้นที่ที่กว้างขวางมาก! มีตั้ง 16 ไร่เลย! โดยด้านในสวนอาหารนั้นจะมีการจำลองสถานที่สวยๆจากทวีปยุโรปมาให้เราได้ถ่ายรูปกันเยอะเลย!
Chocolate Ville เปิดตั้งแต่สี่โมงเย็นจนถึงเที่ยงคืนของทุกวัน เอาง่ายๆคือ เมื่อเรากินอิ่มกันแล้ว ก็มีเวลาให้ถ่ายรูปตอนกลางคืนได้อีกด้วย แสงสีเสียงตอนกลางคืนนั้นสวยงามไปอีกแบบเลยล่ะ!
ผมนัดกับเพื่อนคนรู้ใจไว้ตอน 16.30 น. ห้ามช้า ห้ามสาย และห้ามเลท! ผมนี่รีบเคลียร์งานให้เสร็จก่อนเวลาและรีบขับรถไปตามเวลาที่เธอนัดไว้ แต่สุดท้ายเธอก็ขอเลทเพราะติดประชุมด่วน! ผมนี่โคตรเซ็ง! แต่ก็ต้องเก็บไว้ในใจ บ่นมากไม่ได้! แฮ่ๆ แต่เมื่อผมมาถึงแล้ว ระหว่างรอ ผมก็เลยถือโอกาสเก็บภาพบรรยากาศของร้าน Chocolate Ville ในช่วงยามเย็นมาฝากกันซะเลย เริ่มต้นที่บริเวณหน้าสวนอาหารติดถนนเกษตร-นวมินทร์ บริเวณนี้จะมีรถบัสกับรถตู้นักท่องเที่ยวเท่านั้นที่จอดได้ สำหรับรถส่วนตัวนั้นเขาเตรียมที่จอดไว้ให้ด้านหลังร้าน ใกล้ๆกันนั้นจะมีบ้านสีแดงๆ ชื่อ Home Town General Store & Gas Station มันคือปั๊มน้ำมันในต่างประเทศนั่นเอง มีรถบรรทุกสีแดงให้ถ่ายรูปด้วย! น่ารักมากๆ
โซนด้านหน้าจะเป็นโซนที่ฮอตมากๆ มีผู้คนเข้าไปถ่ายรูปกันเป็นจำนวนมาก ผมจึงขอหลีกหนีความวุ่นวายเดินเข้ามาด้านในแทน บรรยากาศด้านในนั้นค่อนข้างเงียบสงบ ดีเลยล่ะครับ! ผมจะได้ตั้งกล้องถ่ายรูปได้สวยๆ
ด้านในสวนอาหารนั้น จะเน้นการตกแต่งออกแนวยุโรปทั้งหมด มีทั้งบ้านที่เป็นแบบยุโรป ท่าเรือยุโรป ท่าเรือสปีดโบ๊ท เรือใบ และเรือชนิดต่างๆ จอดเรียงรายกันไปมา ซึ่งทำได้สวยงามมากทีเดียว!
จากท่าเรือ ผมก็เดินตามทางเข้ามาเรื่อยๆ บรรยากาศต่างๆก็จะสวยขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะบ้านกลางน้ำที่มีเรือใบจอดอยู่นั่น เป็นบ้านในฝัน ที่ผมอยากสร้างไว้อยู่กับเพื่อนคนรู้ใจของผมมากๆเลย! ชีวิตคู่เราคงจะมีความสุขมากๆ ฮ่าๆ
มาอีกมุมหนึ่ง เป็นมุมจากฝั่งลานจอดรถยนต์ครับ มุมนี้ค่อนข้างสวยงามมากเช่นกัน มีรั้วบ้านแบบยุโรป มีสวนแบบยุโรป และมีบ้านแนวยุโรปหลายหลังตั้งเรียงรายกันอยู่ สวยงามมากนะครับผมว่า!
ผมเริ่มต้นเดินสำรวจบริเวณสวนกันก่อนเลย จะได้หามุมถ่ายรูปสวยๆให้เธอด้วย โดยเริ่มจากที่บริเวณกลางสวนนั้น จะมีศาลาทรงโดมกลมสไตล์ยุโรปตั้งอยู่ บนโดมมีตัวอักษรเขียนว่า The Conservatory Garden ซึ่งเราคาดว่าเป็นชื่อสวนที่เราเห็นนะ น่าจะใช่! และบริเวณด้านหน้าโดมนั้นจะมีบ่อปลาคาร์ฟตัวใหญ่ๆหลากหลายสีสันว่ายน้ำไปมาด้วย ซึ่งบริเวณนี้เด็กๆจะชอบมาก ขนาดผมยังชอบเลยครับ ปลาคาร์ฟสวยมากจริงๆ
อีกฝั่งของสวนจะมีคลองกั้น โดยถัดจากคลองไปนั้นจะเป็น Village Market Delight ซึ่งออกแบบเป็นบ้านแนวทาวน์โฮมแบบยุโรป สีสันต่างๆสวยงามมาก! บ้านเหล่านั้นผมคาดว่าน่าจะเป็นร้านขายของฝากและของที่ระลึกต่างๆ ผมสังเกตดูเอาจากป้ายชื่อหน้าร้าน! ฮ่าๆ
จากมุมสวน เราจะสามารถมองเห็นสะพานข้ามคลองที่ชื่อว่า The Lagoon สะพานนี้เป็นสะพานที่มีสถาปัตยกรรมแบบยุโรป ตั้งอยู่ใจกลางสวนอาหาร เชื่อมระหว่างโซนสวน The Conservatory Garden และโซน Village Market Delight ซึ่งบนสะพานนั้นมีผู้คนสนใจเข้าไปถ่ายรูปกันเป็นจำนวนมาก!
ข้างๆ สะพานข้ามคลอง The Lagoon จะมีประภาคารตั้งอยู่ ประภาคารนี้เราสามารถขึ้นไปชมวิวมุมสูงของสวนอาหารได้ ซึ่งวิวด้านบนนั้นสวยงามมาก สามารถดูได้รอบทิศทางถึง 360 องศาเลยทีเดียว ผมจึงไม่พลาดที่จะเดินขึ้นไปเก็บภาพมาฝากกันซะหน่อย!
วิวด้านบนนั้นสวยมากจริงๆ สามารถมองเห็นสวนอาหารได้รอบทิศทางเลย ไม่ว่าจะเป็นโซนนั่งทานอาหาร ซึ่งมีทั้งแบบ Indoor และ Outdoor โซนสวน The Conservatory Garden ที่ผมเพิ่งจะเดินผ่านกันมาเมื่อกี้นี่เอง โซน Canal Cafe ที่มีทั้งที่นั่งทานอาหารกลางน้ำ บ้านริมน้ำ และเรือใบ และสุดท้ายโซนจุดนัดพบก่อนขึ้นสะพาน The Lagoon ผมว่าผมชอบบรรยากาศด้านบนประภาคารนี้มากนะ เพราะนอกจากจะได้ชมวิวสวนอาหารแบบ 360 องศาแล้ว อากาศข้างบนนี้ก็เย็นสบายมากทีเดียว!
ผมว่ามุมนี้สวยมากๆ มุมๆนี้คือมุมทานอาหารแบบ Outdoor ริมคลอง ซึ่งมุมนี้จะมีผู้คนมาจับจองโต๊ะนั่งกันอย่างไม่ขาดสาย! เห็นว่าที่นี่ต่อวันนั้น จะมีลูกค้าโทรจองโต๊ะล่วงหน้ามากกว่า 30% เลยล่ะ หากใครอยากได้มุมนั่งทานอาหารสวยๆ ผมว่าควรต้องโทรจองก่อนล่วงหน้าเพื่อความชัวร์นะครับ!
ผมเดินลงจากประภาคารแล้วเดินมาฝั่งสะพาน The Enchanted Bridge บ้าง บริเวณนี้จะมีห่านตัวสีดำและสีขาวเล่นน้ำอยู่กลางคลอง ซึ่งน่ารักมากๆเลย
ด้านหลังสะพาน The Enchanted Bridge จะเป็นโซนทานอาหารฝั่ง Farmville Dairy Barn และใกล้ๆกันนั้นจะมี Village Post Office ของสหรัฐอเมริกาด้วย ซึ่งทั้ง 2 โซนนี้ได้รับความนิยมจากลูกค้ามานั่งทานอาหารกันเป็นจำนวนมาก เพราะบรรยากาศดี อากาศเย็นสบาย อีกทั้งช่วงเวลากลางคืนนั้น แสงสีเสียงของโซนนี้ก็จะสวยงามมากด้วย!
ไม่นานนักขณะผมกำลังเก็บภาพสะพาน The Canal ที่อยู่ข้างๆ Village Post Office นั้น ฝนก็ได้เวลาเริ่มลงเม็ดแล้ว ผมวิ่งเข้าไปหาที่หลบฝนและโทรศัพท์หาเธอว่าประชุมเสร็จหรือยัง ก่อนจะได้รับคำตอบว่าเธอประชุมเสร็จแล้วและกำลังจะมา เธอให้ผมหาโต๊ะนั่งแล้วสั่งอาหารรอเธอเลย!
และด้วยความที่ฝนตกแรงพอสมควร ผมจึงไม่สามารถนั่งทานอาหารแบบ Outdoor ได้ ผมจึงเลือกบ้านหลังนี้สำหรับทานดินเนอร์กับเธอผู้ซึ่งเป็นเพื่อนคนรู้ใจของผม ที่ตอนนี้เธอเลทมากกว่า 2 ชั่วโมงแล้ว แหมๆ เธอนัดผมซะดิบดีว่า ผมห้ามสาย ห้ามช้า และห้ามเลท แต่ดูเธอทำดิ! เลทผมเป็น 2 ชั่วโมงแล้ว! (ผมได้แต่บนพึมพำในใจเท่านั้น เพราะบ่นออกเสียงไม่ได้ เดี๋ยวจะเป็นเรื่องเอา ฮ่าๆๆ)
ผมสั่งอาหารตามใจผมเลย แต่ที่จริงผมก็รู้อยู่แหละครับว่าเธอจะกินอะไร ก็สั่งตามนั้น เมนูที่ผมสั่งไปนั้นมี เมนูหอยแมลงภู่อบชีส เสิร์ฟพร้อมขนมปังกระเทียม เมนูนี้เธอกินทุกครั้งที่มา เมนูที่สองคือ เย็นตาโฟหม้อไฟ เป็นเมนูที่เธอชอบทานบ่อยๆจนทำให้ผมชอบทานตามไปด้วย ถัดไปเป็นเมนู เมี่ยงหอยแครงหมี่ม้วน เมนูนี้แหละครับที่เหมาะสำหรับคนลดความอ้วนอย่างเธอ ส่วนเมนูสุดท้าย ผมสั่งตามใจผมบ้าง นั่นก็คือเมนู ขาหมูเยอรมันแบบดั้งเดิม เมนูนี้ผมชอบแต่เธอไม่ชอบเพราะมันอ้วน ฮ่าๆ ซึ่งอาหารที่นี่อร่อยหมดทุกเมนูครับ ผมคอนเฟิร์ม!
เมื่อผมสั่งอาหารเสร็จ อาหารก็เริ่มทยอยเสิร์ฟ แต่เธอก็ยังมาไม่ถึง ผมจึงต้องโทรตาม(จิก)เธออีกครั้ง เรื่องของเรื่องคือแอบเป็นห่วงเธอมากกว่าเพราะฝนตกหนักแล้ว และเธอก็นั่งแท็กซี่มาด้วย แต่ผมต้องไม่แสดงออกว่าเป็นห่วงนะ! เลยแกล้งทำเสียงขรึมๆว่า
ผม : อยู่ไหนแล้ว รอนานล่ะนะ?
เธอ : จะถึงแล้วเนี่ย รอนิดรอหน่อย! (คิดในใจ ไม่หน่อยเลยอ่ะ เกือบ 2 ชั่วโมงเลยนะ นี่ถ้าเป็นเพื่อนผมว่ากลับไปแล้ว แฮ่ๆ)
ผม : อืมๆ ได้โต๊ะล่ะ!
เธอ : ออกมารับด้วยนะ ไม่มีร่ม! (เอิ่ม! คือเป็นผมตลอด! ดีนะที่เอาร่มติดกระเป๋ามาด้วย ไม่งั้นต้องมีเปียกกันทั้งคู่ เผลอๆโดนบ่นด้วย!)
พอเธอมาถึง ผมฝากโต๊ะไว้กับพนักงานและก็รีบออกไปรับเธอ หลังจากนั้นก็กลับมาทานอาหารกันต่อ ซึ่งเธอบ่นว่าหิวมาก และวันนี้เธอหั่นขาหมูเยอรมันกินเองมากกว่า 3 คำด้วย เมื่อก่อนนี่แทบจะไม่แตะเลย แต่วันนี้เธอคงหิวมากจริงๆ ฮ่าๆ
พอพวกผมทานอาหารกันเสร็จ ฝนก็หยุดตก ผมจึงเช็คบิลและออกจากร้านแล้วมาเดินถ่ายรูปกับเธอต่อ ถามว่ามื้อนี้ใครจ่าย ก็ผมนี่แหละครับ! ตลอดๆ ผมแอบแกล้งหยอดถามเธอไปหน่อยว่า เลี้ยงหน่อยดิมาเลทอ่ะ แต่กลับโดนบ่นด้วยสายตากลับมาทันทีทันใด สรุปผมจ่ายเองก็ได้! ฮ่าๆๆ
บรรยากาศของ Chocolate Ville ยามค่ำคืน
ผมกับเธอออกมาเดินเล่นด้วยกันต่อ เดินชมแสงสีเสียงและบรรยากาศยามค่ำคืนกับเธอซะหน่อย เธอเป็นคนชอบถ่ายรูป ส่วนผมก็เป็นมือกล้องให้เธอ แต่การจะถ่ายรูปให้เธอนั้นแสนจะยากลำบาก เพราะในรูปเธอจะต้องดูผอม ต้องสูงยาวหุ่นดี หากถ่ายได้อ้วนนิดอ้วนหน่อย ผมก็จะโดนบ่นมาเป็นชุดเลย! ฮ่าๆๆ
พวกผมเริ่มเดินตั้งแต่หน้าร้านที่เราทานอาหารไปเรื่อยๆ จนถึงลานจอดรถ ที่ไหนที่เธอชอบ เธอก็จะให้ผมถ่ายรูปให้ ผมเพิ่งรู้ว่าที่นี่นั้น ในช่วงเวลากลางคืนจะสวยมากๆเลย แสงสีต่างๆสวยมากจริงๆ ผมจึงขอเก็บภาพบรรยากาศมากฝากเพื่อนๆด้วย
ต้องยอมรับเลยว่าบรรยากาศยามค่ำคืนของที่นี่นั้นสวยงามมากจริงๆ แต่ละโซนนั้นจะประดับประดาด้วยหลอดไฟสีต่างๆ เปิดสว่างไสวให้ความรู้สึกตื่นตาตื่นใจ ซึ่งผมว่าสวยกว่าตอนกลางวันเยอะเลย!
ที่นี่คือร้าน Old Town Wine Cellar โดยด้านในร้านนั้นจะขายไวน์หลากหลายชนิดเลย ผมแอบขอเล่าประวัติร้านเขานิดหนึ่งครับว่า เจ้าของร้านที่นี่นั้น เขาทุ่มทุนสร้าง Chocolate Ville นี้ขึ้นมาในราคาทุนกว่า 500 ล้านบาท เพื่อเป็นร้านที่ทำต่อยอดจากร้านไวน์ชื่อดังที่ชื่อ Wine I Love You นั่นเอง นี่แหละเป็นเหตุผลว่าทำไมที่นี่ถึงขายไวน์หลากหลายชนิดและใช้ถังไวน์เป็นเอกลักษณ์ของร้าน ไม่ว่าจะเป็นที่นั่งต่างๆ ที่ยืนของมาสคอต หรือแม้แต่ถังขยะยังเป็นถังไวน์
สุดท้ายพอเธอถ่ายรูปจนอิ่มหนำสำราญแล้ว ก็ถึงเวลาที่เธออยากจะกลับบ้าน พวกผมก็เลยเดินย้อนกลับมาลานจอดรถกัน ยอมรับครับว่าวันนี้เหนื่อยมาก! ผมเดินวนอยู่หลายรอบจนชำนาญเส้นทางเดินล่ะมั่งครับ! แต่ถ้าถามว่าสนุกไหม ตอบเลยครับว่าสนุกมาก! เพราะผมได้ใช้เวลาอยู่กับเธอ! แม้เธอจะบ่นอุบอิบนั่นนี่แต่เธอก็มีความน่ารักมากทีเดียว ทุกครั้งที่ผมถ่ายรูปให้เธอ ผมได้มองเธอผ่านเลนส์กล้องของผม ทำให้ผมนั้นได้มองเธออย่างจริงจังนานๆ จนทำให้ผมรู้ว่า เธอนั่นก็สวยไม่แพ้ใครเลย!
ขอบคุณ Chocolate Ville ที่ทำให้พวกผมได้ผูกพันธ์กันมากขึ้น ขอบคุณอาหารอร่อยๆที่ทำให้พวกผมได้กินร่วมกัน ที่นี่มากี่ครั้งก็ไม่เบื่อเลย ผมขอคอนเฟิร์มว่าที่นี่มีสิ่งแปลกใหม่หมุนเวียนเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ผมอยากให้ทุกคนแวะไปเที่ยวกันดู ซึ่งจะไปกับเพื่อน จะไปกับแฟน หรือจะไปกับครอบครัวก็ได้เหมือนกัน! แต่สำหรับผมนั้น ผมไม่ได้มาที่นี่กับเพื่อนหรือแฟนหรือครอบครัว แต่ผมแค่มากับเธอผู้ซึ่งเป็นเพื่อนที่รู้ใจแค่นั้น! (เขียนฆ่าตัวเองชัดๆ ภาวนาอย่าให้เธอเห็นโพสต์นี้เลย แฮ่ๆ)
ไหนๆ มีใครไปเที่ยวที่นี่มาแล้วบ้าง ? เอารูปมาอวดกันหน่อยเร็ว!
ติดต่อสอบถามเพิ่มเติมหรือสำรองโต๊ะได้ที่ …
หมายเลขโทรศัพท์ 081-921-2016
เว็ปไซค์ … คลิกที่นี่
หรือ Facebook fanpage … คลิกที่นี่
หากเพื่อนๆอยากดูรีวิวทั้งหมดเกี่ยวกับ ร้านอาหาร ของ ไป กัน มา ยัง แล้วล่ะก็ … คลิกที่นี่