ที่เที่ยวเชียงราย หน้าฝน มีความฟิน รวม 14 ที่เที่ยวสุดฟิน จ.เชียงราย

ที่เที่ยวเชียงราย หน้าฝน มีความฟิน! ไหนมีใครไปเที่ยวเชียงรายช่วงหน้าฝนมาแล้วบ้าง ดีต่อใจกันสุดๆไปเลยใช่ไหมล่ะ!

เมื่อวันหยุดยาวเข้าพรรษาที่ผ่านมา เราไป เที่ยวเชียงราย มาอีกแล้ว ดินแดนที่ได้ชื่อว่า เหนือสุดในสยาม ชายแดนสามแผ่นดิน ถิ่นวัฒนธรรมล้านนา ล้ำค่าพระธาตุดอยตุง พดุงวัฒนธรรม รสล้ำข้าวสาร หอมหวานลิ้นจี่ สตรีโสภา ชาเลิศรส สับปะรดนางแล แหล่งแพร่ปลาบึก เรายกคำขวัญของ จ.เชียงราย แบบเต็มรูปแบบมาให้เลย เพื่อนๆจะได้รู้ว่า ที่เชียงรายนั้น มีของขึ้นชื่อและที่เที่ยวมากมาย ซึ่งทริปนี้ เราตั้งใจไว้ว่า อยากจะขึ้นดอยไปดูหมอกหน้าฝนที่บนดอยตุง ซัก 5 วัน 4 คืน เมื่อทุกอย่างพร้อม เราก็จัดการจองตั๋วเครื่องบินแล้วบินไปเชียงรายกันเลย!

เริ่มต้นด้วยการเดินทางไป ที่เที่ยวเชียงราย …

เราตัดสินใจหาตั๋วเครื่องบินแบบถูกสุด พอเราค้นหาปุ๊บก็เจอเลย พี่หางแดง Thai Airasia ของเราราคาดีงามแถมยังเป็นตั๋วแบบโปรโมชั่นอีกด้วย นี่เป็นอีกหนึ่งข้อดีของแอร์เอเชีย คือ ราคาตั๋วโปรโมชั่นสามารถซื้อแล้วบินได้เลย ไม่ต้องรอจองข้ามเดือนหรือข้ามปีก็ได้ เราได้ตั๋วมาในราคาไปกลับแค่หลักพันต้นๆเท่านั้นเอง ราคาสบายกระเป๋ามากๆ

ตอนแรกที่จอง เราตัดสินใจไม่ได้ว่าจะเดินทางช่วงเวลาไหน ก็พี่หางแดงของเรามีไฟท์บินตรง ดอนเมือง-เชียงราย ทุกเวลาตั้งแต่ ช่วงเช้า สาย เที่ยง บ่าย เย็น ค่ำ และดึกๆเลย ซึ่งเราว่าสะดวกมากนะ แต่สุดท้ายเราก็เลือกเป็นไฟท์สายๆ เรื่องของเรื่องคือเราไม่อยากตื่นเช้ามากเพราะต้องรีบไปสนามบิน และเราก็ทำการเช็คอินผ่านแอพพลิเคชั่นในมือถือไว้ล่วงหน้าเรียบร้อยแล้ว จะได้ไม่ต้องไปรอคิวเช็คอินที่สนามบินอีก พอไปถึงก็สามารถเดินขึ้นเครื่องได้เลย!

เรามาถึงสนามบินไวมาก เนื่องด้วยมันเป็นวันธรรมดาที่เราลางานมา รถเลยไม่ติดแม้แต่น้อย และด้วยความที่เราว่างมาก เลยขอลองพิมพ์ Borading pass ผ่านตู้เช็คอินซะหน่อย ซึ่งเมื่อเรากดไปกดมา Borading pass ก็ออกมาเฉย ง่ายมากเลย! เราจึงเข้าไปเดินเล่นใน Gate ต่อจนถึงเวลาบิน โดยพี่หางแดงของเรานั้นตรงเวลามาก! อันนี้เราคอนเฟิร์ม!

เราใช้เวลาบินแค่ 1 ชั่วโมงกับอีก 20 นาทีก็ถึงสนามบินแม่ฟ้าหลวง เชียงราย สภาพอากาศวันนี้มีเมฆบ้างเป็นบางครั้ง แต่เครื่องบินขับนิ่งเชียว มีส่ายบ้างตามสภาพหน้าฝน แต่สุดท้ายก็ถึงเชียงรายโดยสวัสดิภาพและตรงเวลาเป๊ะๆ

Day 1 ; วันแห่งการกินและก็นอน!

1) ร้านผัดไทยโบราณ & น้ำเงี้ยวป้าหม่วย (เจ้าเก่า)

เมื่อถึงเชียงราย เราไม่รีรอที่จะไปหาข้าวกินกันก่อน เป้าหมายก็คือ เราอยากกินข้าวซอยน้ำเงี้ยวมากๆ เราจึงตกลงกันไปกินที่ ร้านผัดไทยโบราณ & น้ำเงี้ยวป้าหม่วย (เจ้าเก่า) ซึ่งอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากสนามบิน!

ร้านป้าหม่วยนั้น จะตั้งอยู่ใกล้ๆหมู่บ้านกระเหรี่ยงคอยาว ที่นี่เขาดัดแปลงพื้นที่บ้านเป็นร้านอาหารเล็กๆ ทำด้วยไม้และมุงหลังคาด้วยแผ่นสังกะสี ตอนแรกที่เราเห็นถึงกับต้องคิดในใจว่าจะอร่อยไหมเนี่ย! แต่ด้วยชื่อเสียงอันโด่งดังว่า ป้าหม่วยแกเคยเป็นคนทำอาหารในวัง รสชาติอาหารจึงจะเป็นสูตรของชาววัง และเมนูขึ้นชื่อสูตรชาววังก็คือผัดไทย เราจึงเลยลองสั่งเมนู ผัดไทยกุ้งสดห่อไข่ มากินกันก่อนเลย!

วินาทีแรกที่ชิมนั้น คือมันโคตรอร่อยเลย! รสชาติจะหวานเปรี้ยว ถูกปากเรามากๆเลย พอเรากินหมด ก็ติดใจ เลยต้องขอสั่งเพิ่มอีกจานแต่เป็นแบบธรรมดามั่ง ซึ่งรสชาติก็อร่อยเหมือนจานแรกเลย!

ต่อจากผัดไทย เราก็สั่งเมนู ข้าวซอยน้ำเงี้ยว มากินต่อ โดยข้าวซอยน้ำเงี้ยวที่นี่จะเน้นเครื่อง ใส่เนื้อหมูและกระดูกหมูชิ้นโตๆ และน้ำข้นเลือดมาก รสชาตินั้นเผ็ดกำลังดี อร่อยถูกปากเราไปอีกหนึ่งเมนู!

2) ร้านอาหารบ่อกุ้ง บ้านสันสลีหลวง

เนื่องจากวันนี้ฝนตกตลอดทั้งวัน เราจึงขอเข้าที่พักไปพักผ่อนดีกว่า และเราเผลอนอนหลับไป ตื่นขึ้นมาอีกทีก็เป็นช่วงเย็นแล้ว มื้อเย็นนี้ เราจึงตัดสินใจไปกินเมนูกุ้งกันที่ ร้านอาหารบ่อกุ้ง บ้านสันสลีหลวง ต.ศรีค้ำ อ.แม่จัน จ.เชียงราย วันนี้เราโทรมาจองโต๊ะล่วงหน้าเรียบร้อยแล้ว และเมื่อมาก็ได้โต๊ะนั่งเลย!

บรรยากาศของร้านนั้น ก็จะประมาณเป็นซุ้มอาหารกลางบ่อกุ้ง บริเวณโดยรอบนั้นจะเป็นทุ่งนา บรรยากาศแบบบ้านๆ แต่โคตรฟิน! เราจะได้ยินเสียงแมลงร้องบ้าง กบร้องบ้าง อึ่งอ่างร้องบ้าง บางครั้งก็จะเห็นกุ้งกระโดดขึ้นจากน้ำบ้าง แต่อย่าจินตนาการไปว่าจะเห็นกุ้งว่ายน้ำไปมานะ มันไม่ค่อยจะปรากฎตัวให้เราเห็นเท่าไหร่หรอก! จริงๆ

พวกเราสั่งกุ้งกันมา 2 กิโลกรัม ที่นี่เขาเลี้ยงกุ้งสดๆตักขึ้นมาจากบ่อสดๆร้อนๆเลย พวกเราตัดสินใจแบ่งกุ้งไปทำเมนูอาหารเป็นเมนูกุ้งเผา 1 กิโลกรัม และที่เหลืออีก 1 กิโลกรัมนั้น เอาไปทำเป็นกับข้าว คือ ต้มยำกุ้ง กุ้งอบวุ้นเส้น ผัดกระเพรากุ้ง และข้าวผัดกุ้ง

ไฮไลท์เด็ดของที่นี่คือ วิวของท้องฟ้าจะเปลี่ยนสีตอนพระอาทิตย์กำลังจะตกดิน เราโชคดีมากที่วันนี้หลังฝนหยุดตกแล้ว ท้องฟ้าแจ่มใสมาก และสีของท้องฟ้าเปลี่ยนเป็นสีส้ม สีชมพู และสีเหลือง ซึ่งสวยงามมากๆเลย!

ติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ …

ร้านอาหารบ่อกุ้ง บ้านสันสลีหลวง
ต.ศรีค้ำ อ.แม่จัน จ.เชียงราย
หมายเลขโทรศัพท์ 053-779-431
Facebook fanpage ของ ร้านอาหารบ่อกุ้ง บ้านสันสลีหลวง คลิกที่นี่

Day 2 ; ดอยตุง

3) จุดชมวิวดอยตุง กิโลเมตรที่ 12 – ที่เที่ยวเชียงราย

หลังจากกินกันอิ่มจากบ่อกุ้ง ก็ถึงเวลาพักผ่อน เรากลับมาที่พัก อาบน้ำแต่งตัวและเข้านอน ตื่นขึ้นมาอีกทีก็เช้าเลย อากาศยามเช้าวันนี้ฝนตกเยอะเชียว เรานึกว่าจะอดเที่ยวซะล่ะ แต่ พอสายๆ ฝนก็หยุดตก เปลี่ยนเป็นเมฆและไอหมอกขาวๆปกคลุมไปทั่ว พวกเราตัดสินใจขึ้นไปเที่ยวดอยตุงกันเลย เพราะเชื่อว่าเราจะได้ไปสัมผัสกับไอหมอกของหน้าฝนอย่างแน่นอน ว่าแล้วเราก็ไม่รีรอ ขับรถออกจากที่พักขึ้นไปดอยตุงกันเลย และจุดแรกที่เราแวะ นั่นก็คือ จุดชมวิวกิโลเมตรที่ 12 นั่นเอง!

ที่นี่คือวิจุดชมวิว ที่สามารถมองเห็นภูเขาไกลสุดลูกหูลูกตา สลับกันไปกับหมู่บ้านต่างๆใน อ.แม่สาย จ.เชียงราย ซึ่งหากใครมาหน้าฝน บริเวณนี้ก้อนเมฆจะลอยต่ำมากๆ บางครั้งก้อนเมฆเหล่านั้นจะลอยต่ำจนไม่สามารถมองเห็นวิวด้านล่างได้เลย!

เราอยู่จุดชมวิวนี้กันนานมาก ถ่ายรูปกันเยอะมากๆด้วย เพราะวิวที่นี่สวยมากจริงๆ ที่นี่นอกจากจะเป็นจุดชมวิวแล้ว ยังจะมีร้านค้า ร้านอาหาร และร้านขายของที่ระลึกต่างๆมากมาย โดยจะมีคนพื้นเมืองแต่งชุดพื้นเมืองเผ่าต่างๆมาขายของ ซึ่งเราสามารถขอถ่ายรูปคู่เก็บไว้เป็นที่ระลึกได้อีกด้วย!

4) สวนรุกขชาติแม่ฟ้าหลวง – ที่เที่ยวเชียงราย

เราขับรถออกจากจุดชมวิวขึ้นไปอีกเกือบ 20 กิโลเมตรได้ ก็จะถึง สวนรุกขชาติแม่ฟ้าหลวง ที่นี่เป็นสวนดอกไม้บนพื้นที่ที่กว้างขวางมาก! ตั้งอยู่บนดอยนางนอนซึ่งอยู่สูงกว่าระดับน้ำทะเลถึง 1,485 เมตรเลยล่ะ!

การเข้าชมสวนดอกไม้ที่นี่ จะต้องเสียค่าบัตรเข้าชม ราคาผู้ใหญ่คนละ 90 บาท สำหรับผู้สูงอายุและนักศึกษาจะมีส่วนลดเพิ่มให้อีก ที่นี่จะมีชื่อเสียงเรื่อง ดอกกุหลาบพันปี ซึ่งหากใครต้องการชมดอกกุหลาบพันปี เราก็แนะนำให้มาที่สวนนี้เลย แต่ในช่วงฤดูฝนนี้ ก็จะยังพอมีให้เห็นอยู่บ้าง และนี่ก็คือดอกกุหลาบพันปี ซึ่งหาชมได้ยากแล้วนะ ถ้าหากใครต้องการชมดอกกุหลาบพันปี เราแนะนำให้มาในช่วงฤดูหนาว ซึ่งดอกกุหลาบพันปีจะบานเยอะเชียว แต่หน้าฝนนี้ก็ยังพอมีบ้างประปราย โดยดอกกุหลาบพันปีนั้น มันจะเป็นต้นสูงๆใหญ่ๆ ลำต้นจะมีพวกมอสหรือตะไคร้น้ำติดเต็มไปหมด ลักษณะเหมือนอยู่มาเป็นหมื่นๆพันๆปีแล้วนั่นเอง!

ยิ่งเราเดินเข้าไปลึกเท่าไหร่ อากาศภายในสวนก็จะยิ่งเย็นลงเรื่อยๆ จนหนาวเลยล่ะ ข้างในนี้มันจะชื้นหน่อย อากาศเลยเย็นสบายเหมาะกับการเดินชมดอกไม้ต่างๆ โดยระหว่างทางเดินนั้น ก็จะเจอดอกไม้หลากหลายชนิด ปลูกเรียงรายสลับกันไปมา เราชอบดอกไหนก็ถ่ายรูปมาหมดเลย ไม่ได้จะดูชื่อมันหรอกถ่ายรูปอย่างเดียว ฮ่าๆๆ แต่บางต้นก็รู้ชื่อนะ เช่น ดอกหน้าวัว และมะเขือมิกกี้เม้าส์ เป็นต้น

เราเดินตามทางไปเรื่อยๆ ก็จะเจอกับลานโล่งๆกว้างๆ ลานนี้สวยมาก! เป็นลานที่ปลูกกะหล่ำปลีสีต่างๆ เรียงรายลดหลั่นกันไป ไม่น่าเชื่อเลยว่า กะหล่ำปลีสีๆเหล่านี้จะสวยงามได้เพียงนี้ ซึ่งถ้าได้มาหน้าหนาวต้องสวยกว่านี้แน่เลยๆ เราฟินมากๆ

ใกล้ๆกับลานกะหล่ำปลีเหล่านั้น ก็จะเป็นโซนของลานดอกไม้ชนิดต่างๆ โดยแต่ละโซนก็จะสวยงามแตกต่างกันออกไป ช่วงนี้หน้าฝน ต้นไม้ดอกไม้สีสันสดใจมาก เรามองไปโซนไหนก็อิ่มเอมใจอย่างบอกไม่ถูก!

5) พระธาตุดอยช้างมูบ – ที่เที่ยวเชียงราย

เราใช้เวลาเกือบ 2 ชั่วโมงเดินเที่ยวเล่นอยู่ในสวนรุกขชาติแม่ฟ้าหลวง แต่พอออกจากสวนเท่านั้นแหละ ฝนก็ตกทันทีทันใด พวกเรารีบมาหลบฝนในรถกันก่อนเลย แต่เรายังไม่ขับไปต่อกันนะ เพราะบริเวณข้างๆสวนนั้น จะยังมีองค์พระธาตุดอยช้างมูบอยู่ เรารอจนฝนหยุดตก ก็ออกจากรถไปกราบนมัสการพระธาตุกัน องค์พระธาตุดอยช้างมูบนั้น จะตั้งอยู่บนก้อนหินขนาดใหญ่ที่มีลักษณะคล้ายช้างกำลังหมอบต่ำอยู่ ดูไปดูมาก็เหมือนมากๆเลยนะ ว่าไหม ?

เราไหว้พระธาตุกันได้สักพักหมอกก็เริ่มปกคลุมอีกครั้งหนึ่ง ดูสภาพป่าข้างๆสิ มีความสวยเหมือนในหนังเลยล่ะ แต่ยังไม่ทันที่เราจะได้ออกจากที่นี่ ฝนก็ตกตามมาอีกครั้ง เราก็หนีเตลิดเปิดเปิงกลับไปขึ้นรถกันหมด ที่จริงที่นี่ถ้าเราขับรถต่อไปอีกหน่อย ก็จะเจอกับฐานปฏิบัติการดอยช้างมูบ เป็นชายแดนติดต่อกันระหว่างไทยกับพม่า ซึ่งจะมีวิวภูเขาสวยๆสลับซับซ้อนไกลสุดลูกหูลูกตาของฝั่งพม่าให้เราได้ดู แต่เนื่องจากวันนี้ฝนฟ้าไม่เป็นใจ บวกกับหมอกลงเยอะมาก เราเลยตัดสินใจไม่ไปกัน เลยออกเดินทางไปเที่ยวที่อื่นแทน!

6) วัดพระธาตุดอยตุง – ที่เที่ยวเชียงราย

เราตัดสินใจขับรถฝ่าสายฝนกันออกมา แต่พอลงจากดอยช้างมูบเท่านั้นแหละ ฝนก็ไม่ตกแม้แต่นิดเดียว! เราจึงขับรถต่อไปอีก 3 กิโลเมตร ก็จะถึง วัดพระธาตุดอยตุง

วัดพระธาตุดอยตุง ตั้งอยู่บริเวณส่วนที่เป็นหน้าอกของดอยนางนอน มีประวัติคือ เป็นพระธาตุสำหรับเก็บกระดูกไหปลาร้าของพระบรมสารีริกธาตุ โดยวัดพระธาตุดอยตุงนั้นเป็นวัดที่มีชื่อเสียงมาก ถือเป็นวัดคู่บ้านคู่เมืองของ จ.เชียงราย เลยก็ว่าได้ จึงมีผู้คนมากราบไหว้กันเยอะมากในแต่ละวัน!

เคยได้ยินมาว่า ตอนแรกนั้น ได้มีการสร้างพระธาตุดอยตุงแค่องค์เดียว แต่ต่อมาพระเจ้ามังรายนราช (ถ้าจำชื่อไม่ผิดนะ) ได้สร้างอีกองค์คู่กัน เพื่อเก็บพระบรมสารีริกธาตุขององค์อื่นๆด้วย เราจึงเห็นพระธาตุดอยตุงมี 2 องค์มาจนถึงทุกวันนี้!

ตุง ถือเป็นสัญลักษณ์ของพระธาตุดอยตุงเลยล่ะ เล่ากันมาว่าตอนสร้างพระธาตุองค์แรกนั้น ได้มีการทำตุงยาว 1,000 วามาปักลงบนยอดเขาแห่งนี้ด้วย หากใครขึ้นมาสักการะแล้วจะพบว่าที่หน้าองค์พระธาตุนั้น จะมีรอยปักตุงลึกมาก ซึ่งก็คือที่ที่เราเอาเหรียญโยนๆกันลงไปนั่นเอง เชื่อกันว่าเป็นหลุมที่ใช้ปักฐานตุงบูชาพระธาตุเมื่อ 1,000 ปีที่แล้ว นี่แหละจึงเป็นที่มาของชื่อ พระธาตุดอยตุง

ช่วงที่เราไปเที่ยวนั้น เราได้พบกับจุดชมวิวแห่งใหม่ในวัดพระธาตุดอยตุง เหมือนเพิ่งสร้างเสร็จและเพิ่งเปิดให้ชมเลย เราจึงไม่รีรอที่จะเดินไปดู ระยะทางเดินเกือบ 300 เมตรได้เลย เราตื่นเต้นมากๆ

ระหว่างทางเดิน เราก็จะพบกับวิวทุ่งนาที่สวยมากๆ มีทั้งวิว มีทั้งหมอก สวยงามมากจริงๆ ที่จริง จ.เชียงราย เป็นเมืองแห่งเกษตรกรรม ช่วงเดือนนี้แหละ จะเป็นช่วงเริ่มดำนากัน จึงไม่แปลกที่เราจะได้เห็นแปลงนาเรียงรายไกลสุดลูกหูลูกตาอย่างสวยงาม!

และแล้วเราก็ได้สัมผัสกับหมอกจริงๆ ซึ่งหมอกนั้นมันไหลเร็วมาก พัดเข้ามากระทบใบหน้าเราเย็นเจี๊ยบเลย! นานๆที เราจะได้สูดอากาศสดชื่นให้เต็มปอดซะที เราชอบมากอ่ะ ชอบจริงๆนะ

เรายืนรอให้หมอกค่อยๆพัดผ่านไป จึงเริ่มเห็นจุดชมวิวโผล่ขึ้นมากลางหมอก เราถึงกับต้อง ว๊าว! เพราะวิวที่เราเห็นนั้นมันดีงามหลักพันล้านบอกเลย สวยมาก ดีมาก ที่สุดของคำว่ามากเลยก็ว่าได้ เราชอบจุดชมวิวนี้ขึ้นมาในทันทีทันใด ซึ่งจุดชมวิวนี้สามารถชมวิวได้ 180 องศาเลยทีเดียว!

ด้วยความเป็นที่ที่แปลกใหม่ เราจึงตื่นเต้นกับวิวที่เห็นมากๆ ยิ่งตอนหมอกลงปกคลุมแล้วจะสวยสดงดงามตระการตามากเลย ที่สำคัญก้อนเมฆนั้นจะลอยต่ำมากๆ ลอยจะชนหัวเราอยู่ นี่แหละบรรยากาศหน้าฝน เมฆหน้าฝนจะจับตัวกันเป็นก้อนๆ และมักจะลอยต่ำๆ เรานี่โคตรจะฟิน! มีความสุขสุดๆไปเลย!

Day 3 ; อ.เมืองเชียงราย

7) ร้านก๋วยเตี๋ยวลำปาง สาขาป่าซาง

เมื่อวานเราฟินมากกับการได้ชมหมอกหน้าฝนบนดอยตุง เราเข้านอนอย่างมีความสุข และตื่นนอนแต่เช้า เพื่อเตรียมตัวออกเดินทางไป เที่ยวเชียงราย กันต่อ วันนี้แดดเริ่มออกล่ะ ท้องฟ้าสดใสมาก เรารีบอาบน้ำแต่งตัว แล้วขับรถไปเที่ยวในตัวเมืองเชียงรายกัน พอขับมาถึงแถวหมู่บ้านบ้านป่าซางในตัวอำเภอแม่จัน นึกขึ้นได้ว่ามีก๋วยเตี๋ยวร้านอร่อยอยู่ร้านหนึ่ง ชื่อว่า ร้านก๋วยเตี๋ยวลำปาง สาขาป่าซาง เลยแวะกินซะหน่อย!

เราสั่งเมนู เส้นหมี่เหลืองเนื้อรวมใส่ทุกอย่างแบบพิเศษ คือแอบหิวมากเหมือนกัน ร้านนี้ลูกชิ้นอร่อย น้ำซุปจะกลมกล่อมมาก เรากินแบบไม่ต้องปรุงเลย อีกทั้งยังมีผักให้ตักเองแบบไม่อั้นอีกด้วย เรียกได้ว่า เราตักมา 3-4 จานก็ยังได้!

8) วัดร่องขุ่น – ที่เที่ยวเชียงราย

หลังจากที่พวกเราทานก๋วงเตี๋ยวลำปางกันเสร็จ เราก็ขับรถมุ่งตรงไปในตัว อ.เมืองเชียงราย อย่างเดียว จนถึงจุดเช็คอินจุดแรกที่เราจะไป นั่นก็คือ วัดร่องขุ่น

วัดร่องขุ่น เป็นวัดที่อาจารย์เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ สร้างขึ้นมา ด้วยแรงบันดาลใจของท่านที่จะสร้างวัดให้เหมือนเมืองสวรรค์ที่มนุษย์สัมผัสได้ วัดของอาจารย์จึงเน้นการใช้สีขาว ประดับตกแต่งด้วยกระจกระยิบระยับ มีรูปปั้นน้อยใหญ่ให้ความหมายแตกต่างกันไป นี่แหละฝีมือของจิตรกรชั้นแนวหน้าของเมื่องไทย ซึ่งมีความสวยงามมากจริงๆ

สะพานแห่งนี้มีความหมายด้วยนะ อาจารย์เฉลิมชัยท่านเคยกล่าวไว้ว่า ใครจะเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าในพระพุทธภูมินั้น จะต้องตั้งจิตปลดปล่อยกิเลสตัณหาของตนเองทิ้งลงไปในปากพญามาร เพื่อเป็นการชำระจิตเราให้ผ่องใสก่อน ถึงจะเดินผ่านขึ้นไปกราบนมัสการภาพวาดพระพุทธเจ้าที่ด้านในพระอุโบสถได้ โดยด้านในพระอุโบสถนั้นสวยมาก มีรูปวาดพระพุทธเจ้าขนาดใหญ่บนผนังพระอุโบสถที่สวยงาม เสียดายที่เขาไม่ให้ถ่ายรูป ต้องเข้ามาชมความสวยงานเหล่านั้นด้วยตัวเองเท่านั้น!

ทำไมถึงต้องเป็นสีขาวอ่ะเหรอ ? อาจารย์เฉลิมชัยท่านกล่าวไว้เหมือนกันว่า ก็เพราะสีขาวนั้นแทนพระบริสุทธิคุณของพระพุทธเจ้านั่นเอง และบนพระอุโบสถยังตกแต่งด้วยกระจกสีขาวอีกด้วย มันมีความหมายนะ คือหมายถึง พระปัญญาธิคุณของพระพุทธเจ้าที่เปล่งประกายไปทั่วโลกมนุษย์และจักรวาลนั่นเอง!

วัดร่องขุ่น มีสถาปัตยกรรมที่สวยงามหลายอย่างเลย ทั้งโบสถ์ ศาลา กุฏิ และหอประชุมต่างๆ อย่างที่เห็นในภาพคือ บริเวณของห้องน้ำ ซึ่งใช้สีเหลืองประดับตกแต่งบนลวดลายไทยที่สวยงาม เราว่ามันเป็นห้องน้ำที่สวยที่สุดเท่าที่เราเคยเห็นมาเลยล่ะ! และนอกเหนือจากนี้ ในวัดร่องขุ่นนั้น ยังมีหอศิลป์ที่แสดงภาพและผลงานของอาจารย์เฉลิมชัย ให้พวกเราได้เข้าไปชมผลงานศิลปะของท่านอีกด้วย ใครไปวัดร่องขุ่น ก็อย่าลืมแวะเข้าไปชมกันนะ โดยคนไทยเข้าชมฟรีไม่เสียค่าเข้าชมแต่อย่างใด!

9) ไร่บุญรอด (สิงห์ปาร์ค) – ที่เที่ยวเชียงราย

เราอยู่วัดร่องขุ่นนานกันพอสมควร พอถ่ายรูปเต็มอิ่มกันแล้ว เราก็ขับรถต่อไปอีกหน่อย ไม่ไกลจากวัดร่องขุ่นก็จะพบกับ ไร่บุญรอด หรือ สิงห์ปาร์ค นั่นเอง

พอเลี้ยวรถเข้า สิงห์ปาร์ค เราก็จะเจอกับรูปปั้นสิงห์ที่คุ้นหน้าคุ้นตากันอย่างดีบนขวดแก้วหรือกระป๋องอะไรนะที่เรากินกันประจำๆ ฮ่าๆๆ รูปปั้นสิงห์นี้ใหญ่มากๆเลย ตั้งอยู่บนลานหญ้ากว้างๆโล่งๆ เป็นวิวที่สวยงามมาก!

เมื่อขับรถเข้าไปอีกหน่อย ก็จะเจอกับ ไร่ชา ของไร่บุญรอด ซึ่งเป็นจุดสุดท้ายก่อนที่จะต้องซื้อบัตรเข้าไปชมสวนและสัตว์ต่างๆแล้ว เราจอดรถกันที่นี่และหยุดถ่ายรูปกันตรงนี้นานหน่อย ไร่ชาที่นี่นั้นจะปลูกกันเรียงรายเป็นแถวสวยงามเชียว เหมือนไปเดินงานเทศกาลดอกสีม่วงๆของฝรั่งเศสเลยอ่ะ ฮ่าๆๆ

ความโค้งมนของต้นชาที่ถูกปลูกเรียงรายเป็นแถวอย่างเรียบร้อย เราว่ามันสวยมากนะ โดยที่บริเวณนี้จะมีลานไม้กว้างๆให้ถ่ายรูปด้วย สามารถมองเห็นไร่ชาได้แบบ 180 องศากันเลยทีเดียว!

บนไร่ชาแห่งนี้ จะมี ร้านอาหารภูภิรมย์ ให้นั่งกินลมชมวิวระหว่างเรานั่งทานอาหารด้วย วิวในร้านอาหารค่อนข้างสวยเลยแหละ แต่วันนี้เราไม่ได้เข้าไปนะ เวลาเรามีไม่มาก เราจึงเดินเล่นชิวๆ บริเวณไร่ชาแทน

เราตัดสินใจหยุดเที่ยวไร่บุญรอดไว้เท่านี้ก่อน เพราะเวลาเรามีจำกัดมาก ตั้งใจไว้ว่าหน้าหนาวนี้ เราจะกลับมาปั่นจักรยานชมสวน ชมสัตว์ กินลมชมวิวกับบรรยากาศสวยๆ บนอากาศหนาวๆ กับเทศกาลบอลลูนนานาชาติ และเทศกาลอื่นๆ คงจะฟินน่าดู!

10) วัดร่องเสือเต้น – ที่เที่ยวเชียงราย

เราขับรถออกจากไร่บุญรอด มุ่งตรงสู่ วัดร่องเสือเต้น วัดสีน้ำเงินของสล่านก หรือนายพุทธา กาบแก้ว ศิลปินท้องถิ่นชาวเชียงราย ผู้ซึ่งเคยเป็นลูกศิษย์ของอาจารย์เฉลิมชัย และยังเคยทำงานสร้างวัดร่องขุ่นมาเมื่อหลายปีก่อน โดยวัดร่องเสือเต้นนั้น ตั้งอยู่ที่ชุมชนร่องเสือเต้น ต.ริมกก เส้นทางไปชมวัดห้วยปลากั้งนั่นเอง ซึ่งวัดนี้เพิ่งเปิดให้ชมได้ไม่นานมานี่เอง!

สล่านก เคยกล่าวไว้ว่า พระวิหารแห่งนี้เป็นทิพยสถาน คือ เป็นการสรรเสริญพระพุทธเจ้าในรูปแบบของประติมากรรมและจิตรกรรม เมื่อคนเข้าไปมีจิตใจดีก็จะรักษาศีล ก่อให้เกิดสมาธิและปัญญาตามมา พระวิหารแห่งนี้เป็นศิลปะประยุกต์ ซึ่งสล่านกได้ประยุกต์ศิลปะที่เรียนกับอาจารย์เฉลิมชัยมา ให้เข้ากับความถนัดของตนเอง โดยใช้สีฟ้าและสีน้ำเงิน เพื่อให้เป็นเอกลักษณ์ของวัด!

สำหรับรูปปั้นพญานาคหน้าวัดนั้น สล่านก กล่าวไว้ว่า ส่วนที่เป็นฟันของพญานาคนั้น สล่านกได้นำมาจากผลงานของอาจารย์ถวัลย์ ดัชนี ซึ่งมีความโดดเด่นเรื่องเขาและงาที่โค้งงอสวยงาม สล่านกก็ประยุกต์ให้มีความแหลมมากขึ้น ดังที่เห็นในรูป ซึ่งสวยมากทีเดียว ว่ากันไหม ?

บริเวณด้านหน้าพระอุโบสถ เราบอกเลยว่างดงามมากจริงๆ มีการใช้สีน้ำเงินฟ้าตัดกับสีทองและเพดานสีแดง เป็นสีที่ตัดกันแต่เข้ากันได้อย่างสวยงาม!

ด้านในพระวิหารนั้น ก็สวยงามไม่แพ้ด้านนอกเลย มีการใช้โทนสีน้ำเงิน สีฟ้า และสีทอง ตัดกับองค์พระประธาน องค์ใหญ่ๆ สีขาว โดยส่วนตัวเราชอบมุมนี้มากๆ ดูหนักแน่นด้วยสีน้ำเงิน อบอุ่นและสงบด้วยองค์พระสีขาว เราประทับใจวัดนี้มากเหลือเกิน!

11) บ้านดำ – ที่เที่ยวเชียงราย

เราอยู่วัดร่องเสือเต้นกันนานเลย ก่อนจะได้เวลาไปเที่ยวกันต่อที่ บ้านดำ ของอาจารย์ถวัลย์ ดัชนี ศิลปินแห่งชาติ ทางด้านจิตรกรรมและปฏิมากรรม

บ้านดำนั้น ตั้งอยู่ที่ ต.ริมกก เหมือนกัน อยู่ไม่ไกลจากวัดร่องเสือเต้นมาก เป็นกลุ่มบ้านศิลปะแบบล้านนา บ้านทุกหลังทาด้วยสีดำ จึงเป็นที่มาของคำว่า บ้านดำ ซึ่งสีดำยังเป็นสีที่อาจารย์ถวัลย์ ดัชนี โปรดปรานอีกด้วย อย่างที่เห็นในรูปนั้น จะเป็นพิพิธภัณฑ์ ที่ใช้แสดงผลงานของอาจารย์ถวัลย์ ดัชนี ถูกสร้างขึ้นด้วยไม้สักทั้งหลัง มีลวดลายแกะสลักที่สวยงามอย่างยิ่ง!

บริเวณด้านในบ้านดำแต่ละหลังนั้น จะประดับด้วยไม้แกะสลักที่มีลวดลายงดงาม เขาสัตว์ต่างๆ เช่น เขาควาย เขากวาง และยังมีกระดูกสัตว์อื่นๆอีกด้วย เช่น กระดูกช้าง เป็นต้น

มีคนเคยพูดว่า ในจังหวัดเชียงรายนั้น มีวัดร่องขุ่นของอาจารย์เฉลิมชัย ซึ่งมีสีขาวเหมือนสวงสวรรค์ และมีบ้านดำของอาจารย์ถวัลย์ ซึ่งจะเป็นแนวออกทางนรก หรือ เฉลิมสวรรค์ ถวัลย์นรก แต่นั่นเป็นข้อเปรียบเทียบเฉยๆ เราว่าทั้งสองที่มีเอกลักษณ์ที่สวยงามแตกต่างกันออกไปเลยล่ะ!

บ้านดำแต่ละหลังที่ถูกสร้างขึ้นมานั้น อาจารย์ถวัลย์ ไม่ได้สร้างเอาไว้สำหรับอยู่อาศัยนะ แต่สร้างไว้เพื่อเป็นที่เก็บสิ่งของสะสมต่างๆ ของอาจารย์ถวัลย์ ดัชนี นั่นเอง

บ้านสามหลังนี้เรียกได้ว่าเป็นมุมยอดฮิตกันเลยทีเดียว มันได้อารมณ์พี่มากพระโขนงมากๆเลย ใครมาแล้วไม่เซลฟี่กับบ้านหลังนี้คือเหมือนมาไม่ถึงอ่ะ เราชอบนะ เหมือนในหนังในละครเลย!

ภายในบริเวณบ้านดำนั้น จะมีต้นใบไม้หญ้าเต็มไปหมด เรียกได้ว่าบรรยากาศร่มรื่น อากาศเย็นสบาย โดยที่บ้านดำนั้น จะมีบ้านสีดำทั้งหมด 36 หลัง ซึ่งแต่ละหลังก็จะมีลักษณะแตกต่างกันออกไป อย่างบ้านหลังนี้ จะให้อารมณ์เหมือนยุ้งข้าวสมัยโบราณมากๆ ซึ่งมีความอาร์ตหน่อยๆ เราชอบมากเลยล่ะ!

Day 4 ; อ.แม่จัน

12) ไร่ชาฉุยฟง – ที่เที่ยวเชียงราย

วันก่อนวันสุดท้ายที่เราจะต้องกลับกรุงเทพมหานครแล้ว (แอบเซ็งเลย!) วันนี้เราตื่นสายหน่อย เพราะเหนื่อยมากจากเมื่อวานที่ตะลอนเที่ยวกันหลายที่เลย ตั้งใจไว้ว่าวันนี้เราจะเป็นเด็กแว้นมอไซค์ไปที่เที่ยวใกล้ๆที่พัก ที่แรกที่เราจะไปนั้น เป็นไร่ชาที่ใครๆต่างก็พูดถึงเมื่อมาเที่ยวเชียงราย นั่นก็คือ ไร่ชาฉุยฟง นั่งเอง

ไร่ชาฉุยฟงนั้น มีเนื้อที่ปลูกชามากกว่า 500 ไร่ ตั้งอยู่บนภูเขาทั้งลูกหรือสองสามลูกโน่นแหละ ซึ่งเป็นพื้นที่ที่กว้างใหญ่ไพศาลมาก! เหมาะกับการมาปั่นจักรยานชมสวนชามากจริงๆ

จุดถ่ายรูปมุมแรก แทบจะเรียกได้ว่ามันคือมุมถ่ายรูปมหาชนเลยล่ะ นั่นก็คือ ป้ายไร่ชาฉุยฟง นั่นเอง มุมนี้เราว่าสวยนะ ด้วยสีไม้ที่เก่าๆ ออกแนววินเทจหน่อยๆ ตัดกับสีเขียวของต้นชา ท้องฟ้า และก้อนเมฆ จะได้รูปภาพที่สวยสุดๆไปเลย!

เราแว้นมอไซค์ขับเข้าไปตามทางเรื่อยๆ ก็จะพบกับร้านอาหารของไร่ชาฉุยฟง ที่นี่มีความอาร์ตมากๆ ตกแต่งด้วยโทนสีไม้ๆ มีดาดฟ้าโปร่งๆ ให้ถ่ายรูปคู่กับวิวของไร่ชาสวยๆ สามารถมองชมวิวไร่ชาได้ไกลสุดลูกหูลูกตาอีกด้วย!

และแล้วก็ถึงเวลากินบ้าง เรามาที่นี่ทั้งที จะต้องกินอะไรที่มันเป็นชาเขียวซะหน่อย เราเลยสั่งเมนูนี้เลย ชาเขียวเย็นลาเต้ ซึ่งรสชาติของชานั้น หอมหวานมัน ชื่นใจมากๆ

ต่อด้วย เมนูเด็ดของที่นี่ นั่นก็คือ ฉุยฟงชีทเค้ก ซึ่งรสชาติของชีทเค้กนั้น จะนุ่มมาก เมื่อกินตัดกับน้ำตาลที่อยู่ด้านล่าง จะเข้ากันได้ดีอย่างลงตัว!

ปิดท้ายด้วยเมนูเค้กอีกเมนูหนึ่ง นั่นก็คือ เครปเค้กชาเขียว เมนูนี้เราคอนเฟิร์มว่าอร่อยมากจริงๆ เราโคตรชอบเลย เค้กนั้นจะมีความนุ่ม มัน และได้กลิ่นชาเต็มๆ

ของฝากที่นี่ จะเน้นเป็นชาซะส่วนใหญ่ บรรจุในแพคเกจที่มีหลากหลายแบบให้เราได้เลือกสรร รับรองว่าเราจะได้ชาคุณภาพดีๆในแพกเกจที่สวยถูกใจผู้รับอย่างแน่นอน! เราขอคอนเฟิร์ม!

ติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ …

ไร่ชาฉุยฟง (Choui Fong Tea)
หมายเลขโทรศัพท์ 053-771-563
เว็ปไซค์ของ ไร่ชาฉุยฟง คลิกที่นี่
Facebook fanpage ของ ไร่ชาฉุยฟง คลิกที่นี่

13) โอโซนฟาร์ม – ที่เที่ยวเชียงราย

เราแว้นมอไซค์ออกจากไร่ชาฉุยฟง กลับมาทางหมู่บ้านแม่คำ เพื่อจะไป โอโซนฟาร์ม สถานที่ท่องเที่ยวเชิงเกษตรน้องใหม่ที่เพิ่งเปิดตัวไปเมื่อไม่นานนี่เอง! ที่นี่มีจุดเด่นเป็นการปลูกเมล่อน ซึ่งมีโรงเรือนปลูกที่ได้มาตรฐาน และที่สำคัญยังปลอดสารพิษ 100% อีกด้วย

เรามีโอกาสได้เข้าไปชมในโรงเรือนสำหรับปลูกเมล่อนด้วย ที่นี่เขาดูแลเอาใจใส่เมล่อนเป็นอย่างนี้ เรียกได้ว่ามดไม่ให้ไต่ไรไม่ให้ตอมเลยล่ะ สมแล้วกับความเป็นพรีเมี่ยมเมล่อน!

นอกจากนั้น ที่นี่ยังมีมุมถ่ายรูปเก๋ๆหลายที่เลย มีกังหันลมนิวซีแลนด์ มีจุดชมวิวบนต้นไม้ และมีที่พักพักผ่อนแบบ Outdoor สำหรับสูดโอโซนบริสุทธิ์อีดด้วย!

ที่ข้างๆโรงเรือปลูกเมล่อนนั้นจะเป็นร้านคาเฟ่ของ โอโซนฟาร์ม บรรยากาศภายในร้านนั้นสวยงาม สว่าง และสะอาดตา โดยร้านถูกทาสีด้วยโทนสีเขียวอ่อนสว่างๆ ประดับตกแต่งด้วยโต๊ะไม้ตัดกับโครงเหล็กสีดำออกแนวลอฟท์ และมีเมนูอาหารต่างๆให้เลือกสรรมากมาย ทั้งเมนูอาหารไทยและอาหารอิตาเลี่ยน

เราสั่ง บิงซูเมล่อน มากินด้วยกัน รสชาตินั้นอร่อยมาก เมล่อนนั้น หอม หวาน มัน ชื่นใจมากๆเลย สมแล้วกับความเป็นพรีเมี่ยมเมล่อน! ตามสโลแกนของร้านนั่นเอง!

ตามมาด้วย น้ำเมล่อนเย็นๆ เสิร์ฟพร้อมกับเนื้อเมล่อนสดๆ เราก็ยังคอนเฟิร์มว่าเมล่อนที่นี่หอมหวานและกรอบมากจริงๆ! เรานั่งใช้ชีวิตสโลว์ไลฟ์อยู่ที่นี่นานมาก ก่อนจะกลับที่พักไปเก็บของเตรียมตัวกลับ กทม. ในวันพรุ่งนี้!

ถ้ายังไม่รู้ว่าจะหยิบอะไรเข้าปาก ผลไม้ที่ชื่อ เมล่อน ก็น่าสนใจไม่น้อย เพราะนอกจากเมล่อนจะไม่ทำให้อ้วนและต้านแก่แล้ว เมล่อนยังสามารถช่วยลดความเครียดได้ฉับพลันอีกด้วย เขาเขียนติดไว้ในเมนูอาหาร เราเลยคัดลอกมาให้ดู ฮ่าๆๆ ก่อนกลับ เราซื้อเมล่อนกลับไปกินที่บ้านด้วย ซึ่งเมล่อนที่นี่จะแน่นและหนักมากเลยนะ แม้จะเห็นว่าลูกแค่นี้นะ แต่พอนำมาชั่งกิโลแล้วหนักมากๆเลย!

ที่นี่นอกจากจะมีเมล่อนจำหน่ายแล้วแล้ว ยังมีผลไม้อื่นๆจำหน่ายในราคาสวนอีกด้วย เช่นสับปะรด และเสาวรส เป็นต้น

ติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ …

Ozone Farm (โอโซนฟาร์ม) แหล่งท่องเที่ยวเชิงเกษตร
หมู่บ้านแม่เปิน ซอย 9 ต.แม่คำ อ.แม่จัน จ.เชียงราย
หมายเลขโทรศัพท์ 065-504-4495
เว็ปไซค์ของ Ozone Farm (โอโซนฟาร์ม) คลิกที่นี่
Facebook fanpage ของ Ozone Farm (โอโซนฟาร์ม) คลิกที่นี่

Day 5 ; อ.แม่สาย

14) ตลาดชายแดนไทย-พม่า อ.แม่สาย – ที่เที่ยวเชียงราย

วันสุดท้ายก่อนขึ้นเครื่องกลับกรุงเทพมหานคร วันนี้ฝนตกหนักทั้งวัน แต่กว่าเราจะขึ้นเครื่องก็ช่วงเย็นเลย เรายังพอมีเวลาที่จะไปเดินช๊อปปิ้งกันหน่อยที่ ตลาดชายแดนไทย-พม่า ที่อำเภอแม่สายนั่นเอง เรียกว่าได้เป็นตลาดที่อยู่เหนือสุดในสยามเลยล่ะ ที่นี่เราสามารถข้ามแดนไปเดินช๊อปปิ้งฝั่งพม่ากันได้ด้วยนะ แต่เราต้องแวะทำบัตรผ่านแดนชั่วคราวก่อนที่ตัวอำเภอแม่สาย แต่ครั้งนี้ที่เรามา เราไม่ได้ตั้งใจจะข้ามแดน ตั้งใจมาแค่เดินช๊อปปิ้งชิวๆเพื่อฆ่าเวลาก่อนไปขึ้นเครื่องเท่านั้น เราจึงเดินตลาดเฉพาะในฝั่งไทยก็พอ!

ที่ตลาดชายแดนไทย-พม่า อ.แม่สาย แห่งนี้ จะมีสินค้าต่างๆให้เราเลือกซื้อกันทุกอย่าง เช่น กระเป๋า เสื้อผ้า รองเท้า เครื่องใช้ไฟฟ้าทุกชนิด ขนม ตุ๊กตา ของใช้ต่างๆ หรืออยากได้อะไรก็จะมีหมด ทั้ง ซีดี ดีวีดี ก็มีครบหมดเหมือนกัน แต่อย่าลืมว่า ของที่นี่นั้นส่วนใหญ่จะเน้นเป็นสินค้าจากจีน หรือสินค้าเลียนแบบ แต่งานดีนะ เกรดเอเลยล่ะ!

สิ่งแรกที่เราต้องทำเมื่อมาถึงแม่สายทุกครั้ง นั่นก็คือ หากินโรตีและข้าวแรมฟืน ซึ่งโรตีที่แม่สายนี้ แป้งมันจะเหนียวนุ่มมากๆ และอร่อยด้วย ส่วนข้าวแรมฟืนก็จะมีทั้งแบบน้ำและแบบแห้ง ซึ่งก็อร่อยหมดทุกแบบเลย!

โรตีที่นี่ ส่วนใหญ่จะเป็นชาวพม่าขายกัน ซึ่งแป้งเขาเหนียวดีนะ กรอบอร่อยไม่เหมือนใครดี จะใส่ไข่หรือไม่ใส่ก็อร่อยหมดเลย ไม่เชื่อลองหาชิมกันดู!

เราเลือกไฟท์บินกลับกับน้องหางแดง ไทย แอร์เอเชีย เหมือนเดิม ด้วยเวลาบินที่มีให้เลือกเยอะมาก เราเลยเลือกที่จะกลับไฟท์ช่วงบ่ายๆเย็นๆ พอให้มีเวลาจัดเก็บข้าวของที่กรุงเทพบ้าง เครื่องบินยังตรงเวลาเหมือนเดิมไม่เคยเปลี่ยน และพาเรากลับถึงกรุงเทพฯโดยสวัสดิภาพ! ถือเป็นการปิดท้ายทริปนี้อย่างสมบูรณ์แบบ!

เราประทับใจมากกับทริปนี้ ถือว่าเป็นทริปที่เราได้ใกล้ชิดกับธรรมชาติมากที่สุด มันมีความสุขอย่างบอกไม่ถูกเลยจริงๆ ไว้มีโอกาสครั้งหน้า เราจะกลับไป เที่ยวเชียงราย อีกแน่นอน!

หากเพื่อนๆอยากดูรีวิวทั้งหมดเกี่ยวกับ ที่เที่ยว (ประเทศไทย) ของ ไป กัน มา ยัง แล้วล่ะก็ … คลิกที่นี่